วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หมอชีวกโกมารภัจจ์ เอตทัคคะ ในด้านเป็นที่รักของปวงชน

       ท่านทั้งหลายเคยปวดเมื่อยกันมั๊ยครับ แน่นนอนว่าต้องเคยกันทุกๆคน ในเมืองไทยเมื่อเกิดอาการเช่นนี้มักจะนึกถึง หมอนวดแผนโบราณ ที่ปัจจุบันมีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยเฉพาะที่วัดโพธิ์ ที่ๆชาวต่างประเทศข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนวิชานวดแผนโบราณกันที่นี่ และเมื่อเราไปใช้บริการนวดแผนโบราณนี้ หลายๆแห่งมักจะมี รูป ท่านปู่ชีวกและบางที่ก็จะมีรูปปู่ฤาษีตั้งไว้คู่กัน ในบทความนี้ผมขอนำประวัติ ท่านปู่ชีวกซึ่งในวงการแพทย์แผนโบราณในปัจจุบันนี้ ถือว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็น บรมครุแห่งการแพทย์แผนโบราณ เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป



       หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุตรของนางสาลวดี นครโสเภณีประจำเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ในสมัยนั้นตำแหน่งนี้มีเกียรติยศต่างจากในสมัยนี้ นางสาลวดีตั้งครรภ์โดยบังเอิญ เมื่อคลอดบุตรชายออกมาจึงสั่งให้สาวใช้นำไปทิ้ง แต่อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบเข้า จึงนำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ชื่อ ชีวก ตั้งขึ้นตามคำกราบทูลตอบคำถามของพระองค์ที่ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า มหาดเล็กกราบทูลว่า ยังมีชีวิตอยู่(ชีวโก)ส่วนคำว่า โกมารภัจจ์ แปลว่า กุมารที่ได้รับการเลี้ยงดู หรือ กุมารในราชสำนัก หมายถึง บุตรบุญธรรม นั่นเอง

       เมื่อเติบโตขึ้นชีวกถูกพวกเด็ก ๆ ในวังล้อเลียนว่า เจ้าลูกไม่มีพ่อ ด้วยความมานะ จึงหนีพระบิดาไปเรียนศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา เพื่อเอาชนะคำดูหมิ่นวิชาที่เลือกเรียนคือวิชาแพทย์ แต่เนื่องจากไม่มีค่าเล่าเรียน จึงอาสารับใช้พระอาจารย์ เมื่อเรียนอยู่ถึง 7 ปี จึงลาอาจารย์กลับบ้าน ระหว่างทางอาจารย์ให้ไปหาต้นไม้ที่ทำยาไม่ได้ ให้เก็บตัวอย่างมาให้ดู ปรากฏว่ากลับมามือเปล่า เพราะต้นไม้ทุกต้นใช้ทำยาได้ อาจารย์บอกว่าเขาได้เรียนจบแล้ว จึงอนุญาตให้กลับได้ หลังจากกลับเมืองมาแล้ว ได้รักษาพระเจ้าพิมพ์พิสารให้หายขาดจากภคันทลาพาธ (โรคริดสีดวงทวาร)ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวง และได้รับพระราชทานสวนมะม่วง แต่ต่อมาหมอชีวกก็ได้ถวายสวนนี้ให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย และได้ถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์อีกด้วย

       ด้วยความที่เป็นคนบำเพ็ญแต่สิ่งที่ดีงาม ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ไม่เลือฐานะ จึงได้รับการยกย่องากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ในด้าน เป็นที่รักของปวงชน

ถ้าต้องการประวัติของหมอชีวกโกมารภัจจ์เพิ่มเติมไปที่นี่ต่อนะครับ
สารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/ubasok_hist/ubasok-cheevaka-komarapaj.htm

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ -ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อโต

       สวัสดีเช่นเคยครับ แล้วเราก็มาถึงประวัติของหนึ่งใน พระห้าพี่น้อง(พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์) ที่พร้อมใจกันลอยน้ำมาจากทางเหนือนั้นองค์สุดท้ายซึ่ง มีอยู่องค์เดียวที่มิได้มีพระนามตามชื่อวัด หรือตามชื่อของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเป็นผู้พบเห็นครั้งแรก แต่พระนามของท่านนั้น ชาวบ้านขนานนามตามพุทธลักษณะของท่านที่มีองค์ใหญ่โตว่า "หลวงพ่อโต" ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ


ประวัติความเป็นมา
       หลวงพ่อโตได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วลอยเข้ามาในลำคลองสำโรง ผู้พบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ จึงพากันอาราธนาหลวงพ่อขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ฉุดดึงเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ท่านไม่ยอมขึ้น มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งคงไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยมาตามลำน้ำสำโรง และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอแสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องต้องกันดังนั้นแล้วก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือ ปัจจุบันนี้คือ วัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง ฝีพายพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างก้มลงกราบนมัสการด้วยความเคารพสักการะ แล้วพร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด" และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนัก ก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่าน และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานในพระวิหาร ซึ่งต้องชะลอท่านขึ้นข้ามฝาผนังวิหาร เพราะขณะนั้นหลังคาพระวิหารยังไม่มี และประตูวิหารก็เล็กมาก ต่อจากนั้นท่านจึงได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน

พุทธลักษณะ
       หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย(สะดุ้งมาร) หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์  ความที่องค์ของท่านใหญ่โตมาก เพราะหน้าตักกว้างถึง 3 ศอก 1 คืบ ชาวบ้านจึงขนานนามท่านว่า"หลวงพ่อโต"

อัศจรรย์หลวงพ่อโต
       เมื่อครั้งที่ท่านยังประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่าบางวันที่เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากหลวงพ่อโต บางคราวพระภิกษุสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายชรารูปร่างสง่างาม มีรัศมีเปล่งปลั่ง นุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน

แสดงปาฏิหาริย์!!
       เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะอาราธนาหลวงพ่อเข้าไปประดิษฐานภายในพระอุโบสถ ได้วัดองค์ท่านกับช่องประตูพระอุโบสถ ช่องประตูใหญ่กว่าองค์ท่านประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งสามารถนำท่านชะลอผ่านประตูเข้าไปได้สบายมาก ครั้นเวลาอาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถจริงๆ กลับปรากฏว่า องค์หลวงพ่อใหญ่กว่าช่องประตูมาก จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถนำท่านผ่านประตูเข้าไปได้ คณะกรรมการและประชาชนทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็พากันตกใจ ให้ความเห็นว่าต้องทุบช่องประตูออกเสียให้กว้าง เมื่อนำหลวงพ่อเข้าไปแล้วค่อยทำประตูกันใหม่ แต่บางท่านให้ความเห็นว่าหลวงพ่อโตคงจะแสดงอภินิหารให้ทุกคนได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็ได้ ดังนั้นจึงพร้อมใจกันจุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานขอให้หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบต่อไป เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็อาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่ประตูพระอุโบสถใหม่ คราวนี้ทุกคนก็ต้องแปลกใจที่องค์หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้อย่างง่ายดาย โดยมีช่องว่างระหว่างองค์หลวงพ่อกับประตูพระอุโบสถเสียอีก นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ในอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตยิ่งนัก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2520 หลวงพ่อได้กระทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่องค์ท่านซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ เกิดนุ่มนิ่มไปหมดทั้งองค์ดังเนื้อมนุษย์ และในปี 2522 ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง

บนบานศาลกล่าว
       ผู้คนที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต่างๆนานา มักจะมากราบไหว้บนบานศาลกล่าวอธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตช่วยให้สมปรารถนา เมื่อสำเร็จผลแล้ว มักจะนำใบลานที่สานเป็นปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองมาถวายเป็นการแก้บน สาเหตุที่ใช้ปลาตะเพียนนั้น เพราะเชื่อกันว่าเป็นปลาคู่บารมีของหลวงพ่อ มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตที่ข้างวิหารมีสระน้ำย่อมๆอยู่สระหนึ่ง บางคราวจะมีปลาเงินปลาทอง หรือปลาตะเพียนเงิน ปลาตะเพียนทองขนาดใหญ่ 2 ตัว ปรากฏให้เห็นลอยเล่นน้ำอยู่คู่กันในสระ ซึ่งในสระนั้นไม่เคยมีปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองมาก่อนเลย!! ส่วนเรื่องที่ห้ามบนบานเด็ดขาดก็คือ การขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อ(ทอง)วัดเขาตะเครา เพราะผู้ที่บนในเรื่องดังกล่าว จะต้องถูกเกณฑ์ทหารทุกราย

งานนมัสการหลวงพ่อโต
ทางวัดได้จัดให้มีงานสมโภชปีละ 3 ครั้ง คือ
- งานปิดทองฝ่าพระพุทธบาทและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 3
- งานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 4
- งานประเพณีรับบัวและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 11 ค่ำ ถึง วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 มีการจัดขบวนเรือแห่แหนหลวงพ่อโต(จำลอง)ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อรับดอกบัวที่ผู้คนถวายเป็นพุทธบูชา
นอกจากนี้ในวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีจะมีงานทำบุญฉลองที่หลวงพ่อโตแสดงปาฏิหาริย์ให้องค์หลวงพ่อนิ่มเหมือนเนื้อของมนุษย์

       หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปและชาวบางพลี รวมทั้งเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ใน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ -ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อทอง

       สวัสดีครับ ผ่านมาแล้ว 3 องค์ สำหรับ พระห้าพี่น้องลอยน้ำ ในบทความความนี้ขอกล่าวถึง ประวัติของพระองค์ที่ 4 ที่เป็น พระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยองค์เล็กขนาดหน้าตักกว้างเพียง 21 นิ้ว ซึ่งลอยน้ำมาจากทางเหนือ (พร้อมพระพี่น้องอีก 4 องค์)ได้ขึ้นประดิษฐานอยู่ ณ วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวในจำนวน 5 องค์พี่น้อง ที่มีแผ่นทองคำเปลวปิดหุ้มอยู่หนามากจนแลไม่เห็นความงามตามพุทธลักษณะเดิม


ประวัติความเป็นมา
       ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในประวัติของหลวงพ่อบ้านแหลม(ธรรมลีลา ฉ.9 ส.ค.44) ว่า ชาวบ้านแหลมซึ่งอยู่ปากอ่าวจังหวัดเพชรบุรี ได้พากันมาจับปลาในทะเล ขณะที่ลากอวนอยู่นั้นได้ลากพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยติดอวนขึ้นมาองค์หนึ่ง ในระหว่างทางกลับ ก็ได้พบพระพุทธรูปยืน(หลวงพ่อบ้านแหลม) ลอยปริ่มๆน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงอาราธนาขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่ง แต่เกิดอาเพทฝนตกหนัก ลมพายุพัดจัด เรือลำที่พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่นั้น ทนคลื่นลมไม่ไหว จึงเอียงวูบไป พระพุทธรูปที่อยู่บนเรือจึงเคลื่อนตกจมหายไปในแม่น้ำ ชาวบ้านแหลมพากันตกใจและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ต่างช่วยกันดำน้ำค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่พบ จึงตกลงว่าไม่ค้นหากันต่อไปอีก จึงนำพระพุทธรูปองค์นั่งที่เหลืออยู่บนเรืออีกลำหนึ่งไปยังถิ่นของตน และนำพระพุทธรูปองค์นั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่พ.ศ.2302 เป็นต้นมา และเรียกขานกันว่าหลวงพ่อเขาตะเครา หลวงพ่อเขาตะเครา ได้รับการเรียกขานนามใหม่คือ "หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา" สาเหตุมาจากมีช่างภาพคนหนึ่งต้องการถ่ายภาพหลวงพ่อ แต่ความที่องค์หลวงพ่อมีทองปิดทับอยู่หนามากจนแลไม่เห็นพุทธลักษณะเดิม ช่างภาพคนนี้จึงไปแกะทองที่ตาหลวงพ่อออกโดยมิได้บอกล่าวและขออนุญาต หลังจากนั้นไม่กี่วันช่างภาพคนนี้ก็มีอาการหูตาบวมเป่ง จึงต้องมากราบขอขมาหลวงพ่อ อาการจึงหายไป
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องหลวงพ่อ จนกระทั่งทองปิดองค์ท่านทับถมกันมากขึ้นทุกวันๆ ชาวบ้านที่มานมัสการจึงเติมคำว่า"ทอง" ไปในการเรียกขาน จึงกลายมาเป็นหลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา

พุทธลักษณะ
       หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย สูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว แต่เนื่องจากทองที่ปิดองค์พระพุทธรูปนั้นหนามาก จนทำให้ไม่เห็นองค์เดิมว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือปูนปั้น แต่จากหลักฐานที่"สุนทรภู่" กวีเอกของไทย ได้เขียนไว้ในนิราศเมืองเพชร คราวที่ได้ไปแวะไหว้หลวงพ่อ(ทอง)วัดเขาตะเครา ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า หลวงพ่อฯเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ ดังความว่า
                    "ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท
                    มีอาวาสวัดวามหาเถร
                    มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ
                    พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ
                    กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้
                    จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์อธิษฐาน
                    เขานับถือลืออยู่แต่บูราณ
                    ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน"

ความศักดิ์สิทธิ์
      ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนั้น เป็นที่โจษขานกันมาแต่โบราณ แม้กระทั่งตอนที่หลวงพ่อจะประทานทองที่องค์ท่านให้นั้น มีผู้เล่าว่า ได้เห็นไฟลุกท่วมองค์ท่านเป็นประกายรัศมีออกมา ทองที่หุ้มองค์ท่านค่อยๆไหลหลุดลอกออกบางส่วน ดูน่าอัศจรรย์ และเมื่อนำทองที่ไหลลอกมาไปชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าได้ถึง 9.9 กิโลกรัม! ทำให้ได้แลเห็นพระพักตร์ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีทองปิดหนามากจนองค์ท่านกลมทีเดียว! นอกจากนั้นยังมีผู้เล่าว่า มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านแหลม ทำไร่ทำนาจนหมดเนื้อหมดตัว จึงคิดจะไปทำมาค้าขายทางใต้ ได้มาไหว้หลวงพ่ออธิษฐานขอให้ช่วยค้าขายร่ำรวยแล้วจะกลับมาบวชชีแก้บน 15 วัน ปรากฏว่าหญิงคนนั้นค้าขายจนร่ำรวย แต่มิได้กลับมาแก้บนตามที่อธิษฐานไว้ ทำให้มีอาการป่วยหนัก จนกระทั่งผลสุดท้ายต้องกลับมาบวชชีที่วัดเขาตะเครา จึงหายป่วย อีกเรื่องหนึ่งคือมีเรือประมงลำหนึ่งถูกมรสุมอัปปางลง ลูกเรือ 11 คนเสียชีวิต รอดมาเพียง 2 คน เพราะมีพระกริ่งและแหวนจำลองของหลวงพ่อฯ ทั้งสองคนนี้จึงบนตัวบวชให้หลวงพ่อตั้งแต่นั้นมา และมีอยู่ครั้งหนึ่งขบวนทอดผ้าป่ามาทำบุญที่วัดเขาตะเครา ตอนกลับจากวัดเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำกลางทาง คนโดยสารทั้ง70กว่าคนเพียงแค่ฟกช้ำดำเขียวเท่านั้น และมีอยู่คนหนึ่งที่เช่าพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อฯแล้วอุ้มองค์ท่านอยู่ คนนี้ไม่ได้รับอันตรายใดๆแม้แต่นิดเดียว!

บนบานศาลกล่าว
       การบนบานศาลกล่าวเพื่อขอพรหลวงพ่อให้ช่วยดลบันดาลในเรื่องราวต่างๆนั้นมักจะสมปรารถนาเสมอ สุนทรภู่เองก็ทราบกิตติศัพท์นี้จึงได้อธิษฐานขอพรจากหลวงพ่อ ดังนี้
                    "ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์
                    ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน
                    ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดาร
                    ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง"
สิ่งที่ห้ามบนก็คือ ขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธรและหลวงพ่อบ้านแหลมนั่นเอง เพราะถ้าบนอย่างนี้ จะต้องเป็นทหารทุกราย! ส่วนการแก้บนนั้น สิ่งของที่นิยมนำมาแก้บนที่ทำกันต่อๆมานั้น ถ้าดูในสมัยก่อนจากคำอธิษฐานดังกล่าวของสุนทรภู่ ว่าถ้าสมหวังในเรื่องที่ขอไว้ สุนทรภู่จะถวายละคร พร้อมทั้งเทียนเงินทองและของเสวยตามที่มีผู้กระทำกันมา
                    "แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง
                    จะแต่งตั้งบายศรีมีละคร
                    ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย
                    เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร"
จากคำบอกเล่าของผู้คนที่วัดเขาตะเคราบอกว่า การแก้บนก็แล้วแต่สิ่งของที่บนไว้ ซึ่งก็มีทั้งละคร ข่าวปลาอาหาร ประทัด เป็นต้น แต่หากต้องการให้ได้ผลสมปรารถนาเร็ว ต้องบนตัวบวช ไม่ว่าจะเป็นบวชพระ บวชเณร บวชชี บวชชีพราหมณ์ บวชเนกขัมมะ ผู้ที่บนตัวบวชนี้จะได้ผลสมหวังทุกราย

       ทุกวันนี้หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครายังคงเป็นที่พึ่งทางใจให้กับชาวเมืองเพชรและผู้คนมากมายที่เดินทางมากราบไหว้หรือแม้แต่ระลึกถึงท่านอยู่เสมอๆ