วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์-ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อโสธร

       เมื่อตอนที่แล้วได้พูดถึง ตำนานของ พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ พระพุทธรูป 5 องค์ ที่ลอยน้ำมาด้วยกันแล้ว บทความนี้ ขอกล่าวถึง ตำนานของหลวงพ่อพุทธโสธร หรือหลวงพ่อโสธร แห่งวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

ประวัติความเป็นมา
       ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรนี้ มีผู้เล่าสืบกันมาหลายกระแส บ้างว่า ท่านมีพี่น้องที่ลอยน้ำมาพร้อมกัน 3 องค์ คือ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโตบางพลี และหลวงพ่อโสธร ส่วนอีกตำนานหนึ่งบอกว่า ท่านเป็นพี่น้องกับหลวงพ่อบ้านแหลมและหลวงพ่อวัดไร่ขิง และก็ยังมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบมาว่า ท่านลอยน้ำมาพร้อมกับหลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อวัดเขาตะเครา
อย่างไรก็ตาม ตำนานที่เล่าขานกันมานี้ก็มีความคล้ายคลึงกันว่า พระพุทธรูป 3 องค์พี่น้องลอยน้ำมาจากทางเมืองเหนือ จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า"สามเสน" จึงได้แสดงอภินิหารลอยให้ชาวเมืองเห็น ชาวบ้านจึงได้ทำการฉุดพระพุทธรูปทั้งสามองค์ โดยใช้เวลา 3 วัน 3 คืนก็ฉุดไม่ขึ้น กล่าวกันว่าครั้งนั้นใช้ผู้คนเป็นแสนๆ ก็ไม่สำเร็จ ตำบลนั้นจึงได้ชื่อว่า "สามแสน" ต่อมาจึงเพี้ยนเป็น"สามเสน" พระทั้ง 3 องค์ก็จมน้ำลง จากนั้นก็ลอยล่องเข้าสู่คลองพระโขนงลัดเลาะไปสู่แม่น้ำบางปะกง และได้ลอยผ่านคลอง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คลองชักพระ พระพุทธรูปได้แสดงอภินิหารลอยขึ้นให้ชาวบ้านเห็น ชาวบ้านจึงพากันมาชักพระขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกคลองนี้ว่า "คลองชักพระ" แล้วทั้งสามองค์ก็ได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปทางหัววัดอีก สถานที่นั้นจึงเรียกว่า "วัดสามพระทวน" และเรียกเพี้ยนเป็น "วัดสัมปทวน" ทั้งสามองค์ได้ลอยตามแม่น้ำบางปะกงเลยผ่านหน้าวัดโสธรไปถึงคุ้งน้ำใต้วัดโสธร และแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านเห็นอีก ชาวบ้านได้ช่วยกันฉุดแต่ไม่ขึ้น จึงเรียกหมู่บ้านและคลองนั้นว่า "บางพระ" มาจนทุกวันนี้ พระพุทธรูปทั้งสามได้ลอยทวนน้ำวนอยู่ที่หัวเลี้ยวตรงกับกองพันทหารช่างที่ 2 ณ สถานที่ลอยวนอยู่นั้นเรียกว่า "แหลมหัววน"



อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากน้ำ
       หลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อโสธรได้แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดโสธร ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า วัดหงษ์ ชาวบ้านช่วยกันยกและฉุดขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สามารถนำขึ้นได้ จนมีอาจารย์ผู้หนึ่งรู้วิธีอัญเชิญ โดยตั้งพิธีบวงสรวงใช้สายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์ จนสามารถอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานในวิหารได้สำเร็จ ในราว พ.ศ.2313
ในการนี้จึงจัดให้มีการสมโภชฉลององค์หลวงพ่อ หลังจากท่านได้ประทับที่วัดหงส์เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านยังไม่รู้ว่าจะขนานนามชื่อของหลวงพ่อว่าอย่างไร แต่เข้าใจว่าท่านคงต้องการชื่อเดิมของท่าน คือ "พระศรี" เพราะเป็นชื่อดั้งเดิมขณะประทับที่วัดศรีเมือง ทางภาคเหนือ ประกอบกับมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าหลวงพ่อมีความประสงค์จะใช้นามว่า "หลวงพ่อพุทธศรีโสธร" เพราะได้เกิดพายุพัดเอาหงษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเสาหักลงมา ชาวบ้านจึงเปลี่ยนหงษ์เป็นเสาธง แล้วเรียกชื่อวัดหงษ์เป็นวัดเสาธง ต่อมาไม่นานก็เกิดพายุพัดเสาธงหักทอนลงอีก ชาวบ้านจึงเรียกวัดเสาธง ว่า"วัดเสาธงทอน" ภายหลังเห็นว่าไม่ไพเราะ จึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดโสธร" และเรียกนามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อโสธร" ต่อมาวัดโสธรได้รับการเสนอแต่งตั้งให้เป็นวัดหลวง ได้ชื่อว่า "วัดโสธรวรารามวรวิหาร" และขนานนามหลวงพ่ออย่างเป็นทางการว่า "หลวงพ่อพุทธโสธร"

ปกปิดองค์จริง
       องค์เดิมเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ หน้าตักกว้างเพียงศอกเศษ มีพุทธลักษณะที่งดงามมาก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยลานช้าง เพราะดูจากพุทธลักษณะซึ่งเป็นที่นิยมสร้างกันมากในสมัยนั้น แต่เนื่องจากพระสงฆ์ในวัดขณะนั้นพิจารณาเห็นว่าอาจจะไม่ปลอดภัยในภายภาคหน้า จึงได้พอกปูนเสริมให้ใหญ่เพื่อหุ้มองค์จริงไว้ภายใน จนมีหน้าตักกว้างประมาณสามศอกครึ่ง อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แล้วจึงลงรักปิดทอง ให้สวยงาม และเป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา

ความศักดิ์สิทธิ์
       ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธร เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนมากมาย ที่มีจิตศรัทธา และเชื่อมั่นในบุญกุศลที่หลั่งไหลมากราบไหว้สักการบูชา และขอพรบารมีจากหลวงพ่อ จนเป็นที่กล่าวขานบอกเล่าต่อๆกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางค้าขาย ทางคงกระพัน ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค โดยใช้ขี้ธูป ดอกไม้บูชาที่แห้งเหี่ยวแล้ว และอธิษฐานหยดเทียน ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ มาทำยา ดังมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งชาวบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ฝนก็แล้ง จนเกิดโรคระบาด ทั้งคนและสัตว์ล้มตายไปมาก มีครอบครัวหนึ่งป่วยเป็นไข้ทรพิษ เมื่อหมดทางรักษาก็ไปนมัสการอธิษฐานขอความคุ้มครองจากหลวงพ่อและนำเอาขี้ธูปและดอกไม้แห้งที่บูชาหลวงพ่อ และหยดน้ำตาเทียนที่ขอน้ำมนต์ แล้วเอามาต้มกิน ปรากฏว่าโรคหาย กิตติศัพท์หลวงพ่อจึงได้โด่งดังไปทั่ว ถึงกับมีการสมโภชและแก้บนกันตราบทุกวันนี้ แม้กระทั่งชาวต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ก็มากราบไหว้บูชาบนบานไม่ขาดสาย และบางรายมาแก้บนเช่นเดียวกับคนไทย การแก้บนหลวงพ่อโสธรที่นิยมกันคือ ละครชาตรี ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัย  

เรื่องที่ห้ามบนบาน
       มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่สืบมาว่า เรื่องที่ห้ามบนบานกับหลวงพ่อโสธรคือ เรื่องขอไม่ให้เป็นทหาร กับเรื่องขอบุตร ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อท่านชอบให้คนเป็นทหารเพื่อจะได้ปกปักรักษาบ้านเมือง และคนที่เป็นทหารก็เป็นเสมือนลูกหลานของท่าน ดังนั้นใครที่มาขอไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร เป็นต้องถูกเกณฑ์ทุกราย! และคนที่มาขอบุตร ก็มักจะได้บุตรที่มีอาการไม่ครบ 32 เนื่องจากว่าท่านได้ส่งลูกหลานซึ่งเป็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายมาให้นั่นเอง! เรื่องนี้เท็จจริงประการใดคงต้องพิจารณากันเอาเอง

บทความหน้าโปรดติดตามเรื่องราวของ"หลวงพ่อบ้านแหลม" จังหวัดสมุทรสงคราม

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์-ห้าพี่น้องลอยน้ำ-01

       กาลครั้งหนึ่งตำนานกล่าวว่า มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมาก ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานว่า "เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไป จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน" ครั้นพระอริยบุคคลทั้งห้าองค์นี้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ มีความปรารถนาจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนทางเมืองใต้ จึงพากันแสดงฤทธิ์ให้พระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาทางใต้ตามแม่น้ำทั้ง 5 สาย ชาวบ้านชาวเมืองตามริมฝั่งแม่น้ำเห็นพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาก็พากันเลื่อมใส จึงพากันอาราธนาให้ขึ้นสถิตอยู่ตามวัดต่างๆ โดย


        - พระพุทธรูปองค์แรกลอยมาตามแม่น้ำบางปะกง แล้วขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร
           จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกว่า "หลวงพ่อโสธร"
         - พระพุทธรูปองค์ที่สองลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดไร่ขิง
           จ.นครปฐม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
         - พระพุทธรูปองค์ที่สาม ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบางพลี
           จังหวัดสมุทรปราการ เรียกว่า "หลวงพ่อบางพลี"
         - พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ลอยมาตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านแหลม
           จังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อบ้านแหลม"
         - และพระพุทธรูปองค์ที่ห้า ลอยมาตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาตะเครา
           จังหวัดเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"

พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ที่มีผู้คนทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลั่งไหลมาเคารพสักการะมิได้ขาด เรื่องราวความเป็นมาและปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปแต่ละองค์จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน"เล่าขานตำนานไทย"บทความต่อไป

ข้อมูล
เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

LONG LIVE THE KING and The Sufficiency Economy Theory

Long live the king-01

วันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

__________________________________________
       และเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคมทาง blog  vinayak-vanich ขอมีส่วนร่วมในการบอกต่อข่าวสารในเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็น ทฤษฏีการดำรงชีวิต ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยทุกคน เพื่อผู้ที่สนใจและต้องการนำทฤษฏี นี้ไปใช้ ได้ตามไปถึงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับทฤษฏีนี้ได้ เริ่มที่แรกกันเลยนะครับ
http://longlivetheking.kpmax.com/
E-learning/CAI เศรษฐกิจพอเพียง online
To know about His Majesty King Bhumibol’s ideas about the Sufficiency Economy Theory.and applied in organization and Stimulation Program.
เว็บนี้เป็นที่ให้ข้อมูล ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง online มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษครับ
http://www.kasetporpeang.com/
เกษตรพอเพียง-โลกสีเขียวแห่งการแบ่งปัน
ทุกคนล้วน เป็นลูกหลานชาวไร่, ชาวนา, ชาวสวน  และผู้มีใจรัก งานด้านเกษตร  ถึงวันนี้พวกเราจะเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่กำลังรวมตัวกัน  แต่หวังว่า  สักวันหนึ่งชุมชนแห่งนี้จะเติบโต และยิ่งใหญ่ไม่แพ้เว็บไซด์ใดๆ
http://www.bansuanporpeang.com/
บ้านสวนพอเพียง หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงบนอินเทอร์เน็ต : แบ่งปัน สร้างสรรค์ พอเพียง
ถ้าพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ไม่พูดถึง อาจารย์วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือที่ใครๆเรียกกันว่า
อาจารย์ยักษ์ ก็เท่ากับว่ายังไม่รู้จักเศรษฐกิจพอเพียงดีพอ อาจารย์ยักษ์ รับราชการติดตามในหลวงอยู่ดีๆ ทำไมถึงลาออกมาเป็นชาวนา ติดตามได้จากคำพูดของอาจารย์ยักษ์
       ครับก็นำข้อมูลมา 3 ที่ ที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว แต่จริงๆแล้วมีอีกหลายที่มากนะครับและไม่ได้จำกัดแค่เรื่องการเกษตร ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกๆภาคส่วน ร่วมทั้งในเรื่อง ธุรกิจ ผมเคยพบข้อมูลหนึ่ง ที่เป็นเรื่องของ ธุรกิจรีสอร์ท ที่ประสบปัญหาถึงขั้นกำลังจะต้องตัดสินใจขายกิจการเพื่อใช้หนี้ แต่เขามาพบทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง เสียก่อนแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในกิจการของเขา ซึ่งก็สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ได้ด้วย “ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นเอง
       ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ……..พวกเราชาวไทย-รักในหลวง “We love the King"