วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ -ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อโต

       สวัสดีเช่นเคยครับ แล้วเราก็มาถึงประวัติของหนึ่งใน พระห้าพี่น้อง(พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์) ที่พร้อมใจกันลอยน้ำมาจากทางเหนือนั้นองค์สุดท้ายซึ่ง มีอยู่องค์เดียวที่มิได้มีพระนามตามชื่อวัด หรือตามชื่อของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเป็นผู้พบเห็นครั้งแรก แต่พระนามของท่านนั้น ชาวบ้านขนานนามตามพุทธลักษณะของท่านที่มีองค์ใหญ่โตว่า "หลวงพ่อโต" ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ


ประวัติความเป็นมา
       หลวงพ่อโตได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วลอยเข้ามาในลำคลองสำโรง ผู้พบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ จึงพากันอาราธนาหลวงพ่อขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ฉุดดึงเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ท่านไม่ยอมขึ้น มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งคงไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยมาตามลำน้ำสำโรง และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอแสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องต้องกันดังนั้นแล้วก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือ ปัจจุบันนี้คือ วัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง ฝีพายพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างก้มลงกราบนมัสการด้วยความเคารพสักการะ แล้วพร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด" และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนัก ก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่าน และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานในพระวิหาร ซึ่งต้องชะลอท่านขึ้นข้ามฝาผนังวิหาร เพราะขณะนั้นหลังคาพระวิหารยังไม่มี และประตูวิหารก็เล็กมาก ต่อจากนั้นท่านจึงได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน

พุทธลักษณะ
       หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย(สะดุ้งมาร) หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์  ความที่องค์ของท่านใหญ่โตมาก เพราะหน้าตักกว้างถึง 3 ศอก 1 คืบ ชาวบ้านจึงขนานนามท่านว่า"หลวงพ่อโต"

อัศจรรย์หลวงพ่อโต
       เมื่อครั้งที่ท่านยังประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่าบางวันที่เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากหลวงพ่อโต บางคราวพระภิกษุสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายชรารูปร่างสง่างาม มีรัศมีเปล่งปลั่ง นุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน

แสดงปาฏิหาริย์!!
       เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะอาราธนาหลวงพ่อเข้าไปประดิษฐานภายในพระอุโบสถ ได้วัดองค์ท่านกับช่องประตูพระอุโบสถ ช่องประตูใหญ่กว่าองค์ท่านประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งสามารถนำท่านชะลอผ่านประตูเข้าไปได้สบายมาก ครั้นเวลาอาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถจริงๆ กลับปรากฏว่า องค์หลวงพ่อใหญ่กว่าช่องประตูมาก จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถนำท่านผ่านประตูเข้าไปได้ คณะกรรมการและประชาชนทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็พากันตกใจ ให้ความเห็นว่าต้องทุบช่องประตูออกเสียให้กว้าง เมื่อนำหลวงพ่อเข้าไปแล้วค่อยทำประตูกันใหม่ แต่บางท่านให้ความเห็นว่าหลวงพ่อโตคงจะแสดงอภินิหารให้ทุกคนได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็ได้ ดังนั้นจึงพร้อมใจกันจุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานขอให้หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบต่อไป เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็อาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่ประตูพระอุโบสถใหม่ คราวนี้ทุกคนก็ต้องแปลกใจที่องค์หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้อย่างง่ายดาย โดยมีช่องว่างระหว่างองค์หลวงพ่อกับประตูพระอุโบสถเสียอีก นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ในอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตยิ่งนัก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2520 หลวงพ่อได้กระทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่องค์ท่านซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ เกิดนุ่มนิ่มไปหมดทั้งองค์ดังเนื้อมนุษย์ และในปี 2522 ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง

บนบานศาลกล่าว
       ผู้คนที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต่างๆนานา มักจะมากราบไหว้บนบานศาลกล่าวอธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตช่วยให้สมปรารถนา เมื่อสำเร็จผลแล้ว มักจะนำใบลานที่สานเป็นปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองมาถวายเป็นการแก้บน สาเหตุที่ใช้ปลาตะเพียนนั้น เพราะเชื่อกันว่าเป็นปลาคู่บารมีของหลวงพ่อ มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตที่ข้างวิหารมีสระน้ำย่อมๆอยู่สระหนึ่ง บางคราวจะมีปลาเงินปลาทอง หรือปลาตะเพียนเงิน ปลาตะเพียนทองขนาดใหญ่ 2 ตัว ปรากฏให้เห็นลอยเล่นน้ำอยู่คู่กันในสระ ซึ่งในสระนั้นไม่เคยมีปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองมาก่อนเลย!! ส่วนเรื่องที่ห้ามบนบานเด็ดขาดก็คือ การขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อ(ทอง)วัดเขาตะเครา เพราะผู้ที่บนในเรื่องดังกล่าว จะต้องถูกเกณฑ์ทหารทุกราย

งานนมัสการหลวงพ่อโต
ทางวัดได้จัดให้มีงานสมโภชปีละ 3 ครั้ง คือ
- งานปิดทองฝ่าพระพุทธบาทและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 3
- งานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 4
- งานประเพณีรับบัวและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 11 ค่ำ ถึง วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 มีการจัดขบวนเรือแห่แหนหลวงพ่อโต(จำลอง)ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อรับดอกบัวที่ผู้คนถวายเป็นพุทธบูชา
นอกจากนี้ในวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีจะมีงานทำบุญฉลองที่หลวงพ่อโตแสดงปาฏิหาริย์ให้องค์หลวงพ่อนิ่มเหมือนเนื้อของมนุษย์

       หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปและชาวบางพลี รวมทั้งเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ใน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น