วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์-ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อโสธร

       เมื่อตอนที่แล้วได้พูดถึง ตำนานของ พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ พระพุทธรูป 5 องค์ ที่ลอยน้ำมาด้วยกันแล้ว บทความนี้ ขอกล่าวถึง ตำนานของหลวงพ่อพุทธโสธร หรือหลวงพ่อโสธร แห่งวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

ประวัติความเป็นมา
       ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรนี้ มีผู้เล่าสืบกันมาหลายกระแส บ้างว่า ท่านมีพี่น้องที่ลอยน้ำมาพร้อมกัน 3 องค์ คือ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโตบางพลี และหลวงพ่อโสธร ส่วนอีกตำนานหนึ่งบอกว่า ท่านเป็นพี่น้องกับหลวงพ่อบ้านแหลมและหลวงพ่อวัดไร่ขิง และก็ยังมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบมาว่า ท่านลอยน้ำมาพร้อมกับหลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อวัดเขาตะเครา
อย่างไรก็ตาม ตำนานที่เล่าขานกันมานี้ก็มีความคล้ายคลึงกันว่า พระพุทธรูป 3 องค์พี่น้องลอยน้ำมาจากทางเมืองเหนือ จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า"สามเสน" จึงได้แสดงอภินิหารลอยให้ชาวเมืองเห็น ชาวบ้านจึงได้ทำการฉุดพระพุทธรูปทั้งสามองค์ โดยใช้เวลา 3 วัน 3 คืนก็ฉุดไม่ขึ้น กล่าวกันว่าครั้งนั้นใช้ผู้คนเป็นแสนๆ ก็ไม่สำเร็จ ตำบลนั้นจึงได้ชื่อว่า "สามแสน" ต่อมาจึงเพี้ยนเป็น"สามเสน" พระทั้ง 3 องค์ก็จมน้ำลง จากนั้นก็ลอยล่องเข้าสู่คลองพระโขนงลัดเลาะไปสู่แม่น้ำบางปะกง และได้ลอยผ่านคลอง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คลองชักพระ พระพุทธรูปได้แสดงอภินิหารลอยขึ้นให้ชาวบ้านเห็น ชาวบ้านจึงพากันมาชักพระขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกคลองนี้ว่า "คลองชักพระ" แล้วทั้งสามองค์ก็ได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปทางหัววัดอีก สถานที่นั้นจึงเรียกว่า "วัดสามพระทวน" และเรียกเพี้ยนเป็น "วัดสัมปทวน" ทั้งสามองค์ได้ลอยตามแม่น้ำบางปะกงเลยผ่านหน้าวัดโสธรไปถึงคุ้งน้ำใต้วัดโสธร และแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านเห็นอีก ชาวบ้านได้ช่วยกันฉุดแต่ไม่ขึ้น จึงเรียกหมู่บ้านและคลองนั้นว่า "บางพระ" มาจนทุกวันนี้ พระพุทธรูปทั้งสามได้ลอยทวนน้ำวนอยู่ที่หัวเลี้ยวตรงกับกองพันทหารช่างที่ 2 ณ สถานที่ลอยวนอยู่นั้นเรียกว่า "แหลมหัววน"



อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากน้ำ
       หลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อโสธรได้แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดโสธร ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า วัดหงษ์ ชาวบ้านช่วยกันยกและฉุดขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สามารถนำขึ้นได้ จนมีอาจารย์ผู้หนึ่งรู้วิธีอัญเชิญ โดยตั้งพิธีบวงสรวงใช้สายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์ จนสามารถอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานในวิหารได้สำเร็จ ในราว พ.ศ.2313
ในการนี้จึงจัดให้มีการสมโภชฉลององค์หลวงพ่อ หลังจากท่านได้ประทับที่วัดหงส์เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านยังไม่รู้ว่าจะขนานนามชื่อของหลวงพ่อว่าอย่างไร แต่เข้าใจว่าท่านคงต้องการชื่อเดิมของท่าน คือ "พระศรี" เพราะเป็นชื่อดั้งเดิมขณะประทับที่วัดศรีเมือง ทางภาคเหนือ ประกอบกับมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าหลวงพ่อมีความประสงค์จะใช้นามว่า "หลวงพ่อพุทธศรีโสธร" เพราะได้เกิดพายุพัดเอาหงษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเสาหักลงมา ชาวบ้านจึงเปลี่ยนหงษ์เป็นเสาธง แล้วเรียกชื่อวัดหงษ์เป็นวัดเสาธง ต่อมาไม่นานก็เกิดพายุพัดเสาธงหักทอนลงอีก ชาวบ้านจึงเรียกวัดเสาธง ว่า"วัดเสาธงทอน" ภายหลังเห็นว่าไม่ไพเราะ จึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดโสธร" และเรียกนามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อโสธร" ต่อมาวัดโสธรได้รับการเสนอแต่งตั้งให้เป็นวัดหลวง ได้ชื่อว่า "วัดโสธรวรารามวรวิหาร" และขนานนามหลวงพ่ออย่างเป็นทางการว่า "หลวงพ่อพุทธโสธร"

ปกปิดองค์จริง
       องค์เดิมเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ หน้าตักกว้างเพียงศอกเศษ มีพุทธลักษณะที่งดงามมาก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยลานช้าง เพราะดูจากพุทธลักษณะซึ่งเป็นที่นิยมสร้างกันมากในสมัยนั้น แต่เนื่องจากพระสงฆ์ในวัดขณะนั้นพิจารณาเห็นว่าอาจจะไม่ปลอดภัยในภายภาคหน้า จึงได้พอกปูนเสริมให้ใหญ่เพื่อหุ้มองค์จริงไว้ภายใน จนมีหน้าตักกว้างประมาณสามศอกครึ่ง อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แล้วจึงลงรักปิดทอง ให้สวยงาม และเป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา

ความศักดิ์สิทธิ์
       ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธร เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนมากมาย ที่มีจิตศรัทธา และเชื่อมั่นในบุญกุศลที่หลั่งไหลมากราบไหว้สักการบูชา และขอพรบารมีจากหลวงพ่อ จนเป็นที่กล่าวขานบอกเล่าต่อๆกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางค้าขาย ทางคงกระพัน ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค โดยใช้ขี้ธูป ดอกไม้บูชาที่แห้งเหี่ยวแล้ว และอธิษฐานหยดเทียน ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ มาทำยา ดังมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งชาวบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ฝนก็แล้ง จนเกิดโรคระบาด ทั้งคนและสัตว์ล้มตายไปมาก มีครอบครัวหนึ่งป่วยเป็นไข้ทรพิษ เมื่อหมดทางรักษาก็ไปนมัสการอธิษฐานขอความคุ้มครองจากหลวงพ่อและนำเอาขี้ธูปและดอกไม้แห้งที่บูชาหลวงพ่อ และหยดน้ำตาเทียนที่ขอน้ำมนต์ แล้วเอามาต้มกิน ปรากฏว่าโรคหาย กิตติศัพท์หลวงพ่อจึงได้โด่งดังไปทั่ว ถึงกับมีการสมโภชและแก้บนกันตราบทุกวันนี้ แม้กระทั่งชาวต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ก็มากราบไหว้บูชาบนบานไม่ขาดสาย และบางรายมาแก้บนเช่นเดียวกับคนไทย การแก้บนหลวงพ่อโสธรที่นิยมกันคือ ละครชาตรี ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัย  

เรื่องที่ห้ามบนบาน
       มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่สืบมาว่า เรื่องที่ห้ามบนบานกับหลวงพ่อโสธรคือ เรื่องขอไม่ให้เป็นทหาร กับเรื่องขอบุตร ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อท่านชอบให้คนเป็นทหารเพื่อจะได้ปกปักรักษาบ้านเมือง และคนที่เป็นทหารก็เป็นเสมือนลูกหลานของท่าน ดังนั้นใครที่มาขอไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร เป็นต้องถูกเกณฑ์ทุกราย! และคนที่มาขอบุตร ก็มักจะได้บุตรที่มีอาการไม่ครบ 32 เนื่องจากว่าท่านได้ส่งลูกหลานซึ่งเป็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายมาให้นั่นเอง! เรื่องนี้เท็จจริงประการใดคงต้องพิจารณากันเอาเอง

บทความหน้าโปรดติดตามเรื่องราวของ"หลวงพ่อบ้านแหลม" จังหวัดสมุทรสงคราม

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์-ห้าพี่น้องลอยน้ำ-01

       กาลครั้งหนึ่งตำนานกล่าวว่า มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมาก ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานว่า "เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไป จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน" ครั้นพระอริยบุคคลทั้งห้าองค์นี้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ มีความปรารถนาจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนทางเมืองใต้ จึงพากันแสดงฤทธิ์ให้พระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาทางใต้ตามแม่น้ำทั้ง 5 สาย ชาวบ้านชาวเมืองตามริมฝั่งแม่น้ำเห็นพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาก็พากันเลื่อมใส จึงพากันอาราธนาให้ขึ้นสถิตอยู่ตามวัดต่างๆ โดย


        - พระพุทธรูปองค์แรกลอยมาตามแม่น้ำบางปะกง แล้วขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร
           จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกว่า "หลวงพ่อโสธร"
         - พระพุทธรูปองค์ที่สองลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดไร่ขิง
           จ.นครปฐม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
         - พระพุทธรูปองค์ที่สาม ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบางพลี
           จังหวัดสมุทรปราการ เรียกว่า "หลวงพ่อบางพลี"
         - พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ลอยมาตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านแหลม
           จังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อบ้านแหลม"
         - และพระพุทธรูปองค์ที่ห้า ลอยมาตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาตะเครา
           จังหวัดเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"

พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ที่มีผู้คนทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลั่งไหลมาเคารพสักการะมิได้ขาด เรื่องราวความเป็นมาและปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปแต่ละองค์จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน"เล่าขานตำนานไทย"บทความต่อไป

ข้อมูล
เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

LONG LIVE THE KING and The Sufficiency Economy Theory

Long live the king-01

วันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

__________________________________________
       และเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคมทาง blog  vinayak-vanich ขอมีส่วนร่วมในการบอกต่อข่าวสารในเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็น ทฤษฏีการดำรงชีวิต ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยทุกคน เพื่อผู้ที่สนใจและต้องการนำทฤษฏี นี้ไปใช้ ได้ตามไปถึงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับทฤษฏีนี้ได้ เริ่มที่แรกกันเลยนะครับ
http://longlivetheking.kpmax.com/
E-learning/CAI เศรษฐกิจพอเพียง online
To know about His Majesty King Bhumibol’s ideas about the Sufficiency Economy Theory.and applied in organization and Stimulation Program.
เว็บนี้เป็นที่ให้ข้อมูล ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง online มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษครับ
http://www.kasetporpeang.com/
เกษตรพอเพียง-โลกสีเขียวแห่งการแบ่งปัน
ทุกคนล้วน เป็นลูกหลานชาวไร่, ชาวนา, ชาวสวน  และผู้มีใจรัก งานด้านเกษตร  ถึงวันนี้พวกเราจะเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่กำลังรวมตัวกัน  แต่หวังว่า  สักวันหนึ่งชุมชนแห่งนี้จะเติบโต และยิ่งใหญ่ไม่แพ้เว็บไซด์ใดๆ
http://www.bansuanporpeang.com/
บ้านสวนพอเพียง หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงบนอินเทอร์เน็ต : แบ่งปัน สร้างสรรค์ พอเพียง
ถ้าพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ไม่พูดถึง อาจารย์วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือที่ใครๆเรียกกันว่า
อาจารย์ยักษ์ ก็เท่ากับว่ายังไม่รู้จักเศรษฐกิจพอเพียงดีพอ อาจารย์ยักษ์ รับราชการติดตามในหลวงอยู่ดีๆ ทำไมถึงลาออกมาเป็นชาวนา ติดตามได้จากคำพูดของอาจารย์ยักษ์
       ครับก็นำข้อมูลมา 3 ที่ ที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว แต่จริงๆแล้วมีอีกหลายที่มากนะครับและไม่ได้จำกัดแค่เรื่องการเกษตร ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกๆภาคส่วน ร่วมทั้งในเรื่อง ธุรกิจ ผมเคยพบข้อมูลหนึ่ง ที่เป็นเรื่องของ ธุรกิจรีสอร์ท ที่ประสบปัญหาถึงขั้นกำลังจะต้องตัดสินใจขายกิจการเพื่อใช้หนี้ แต่เขามาพบทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง เสียก่อนแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในกิจการของเขา ซึ่งก็สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ได้ด้วย “ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นเอง
       ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ……..พวกเราชาวไทย-รักในหลวง “We love the King"

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Princess Vilas’s story พระองค์เจ้าหญิงวิลาส


       สวัสดีครับ นี่ก็ใกล้เข้าวันสำคัญที่ปวงชนชาวไทยรอคอยแล้วนะครับก็คือวัน วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลดุลยเดช วันที่ 5 ธันวาคมนี้ แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า เมื่อ 199 ปีที่แล้ว วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2354 ก็เป็นวันประสูติของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าวิลาส ทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 3กับ เจ้าจอมมารดาบาง มีพระอนุชาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงเป็นพระปิตุจฉาของ สมเด็จพระนางเจ้า โสมนัสวัฒนาวดี สิ้นและพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. 2388 พระราชธิดาองค์นี้ค่อนข้างมีบทบาทอย่างมากในยุคนั้นกล่าวได้คือ

vinayak-vanich.blogspot.com



       - กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเป็นพระราชธิดาองค์โปรดในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกให้เป็น "นางแก้ว" ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัตนะของพระองค์อีกด้วย” - (http://th.wikipedia.org/)
ram3       - พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเสียสละและอดทนอย่างยิ่งต่อการที่จะทำนุบำรุงบ้านเมือง พระศาสนา และอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดรัชกาลของพระองค์ ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งถึงกุญแจแห่งความสำเร็จว่า ประกอบด้วยแก้ว 5 ประการ สำหรับเพื่อแผ่นดิน อันได้แก่
       1. บ่อแก้ว หมายถึง พระยาราชมนตรี (ถู่) ซึ่งเป็นราชบัญฑิตที่น่าเลื่อมใส
       2. ช้างแก้ว หมายถึง พระยาช้างเผือกนามว่า พระเทพกุญชร พระยาเศวตกุญชร และพระยามงคลเดชพงศ์
       3. นางแก้ว หมายถึง พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ      
       4. ขุนพลแก้ว หมายถึง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพผู้คอยปกป้องพระราชอาณาเขตให้พ้นจากการรุกรานของศัตรู      
       5. ขุนคลังแก้ว หมายถึง พระศรีสหเทพ (ทองเพ็ง ศรีเพ็ญ)    


       อย่างแรกที่พวกเราคนในยุคปัจจุบันทราบคือ ท่านอยู่ในบทบาท ของ”นางแก้ว” หนึ่งในกุญแจแห่งความสำเร็จในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ที่ในยุคนั้นนับว่า บทบาทของสตรีช่างน้อยเหลือเกิน แล้วท่านผู้อ่านทราบอีกมั๊ยครับว่า วันลอยกระทงที่ท่านผู้อ่านเพิ่งไปลอยกันมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พวกเราคนในยุคปัจจุบันอีกตามประวัติดังนี้
       “ประเพณีลอยกระทง ทำด้วยใบตองในระยะแรก จำกัดอยู่ในราชสำนักกรุงเทพฯ เท่านั้น มีรายพรรณาเป็นรายละเอียดอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 3 ว่ากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ราชธิดาองค์โปรดได้แต่งกระทงเล่นทุกปี เมื่อนานเข้าก็เริ่มแพร่หลายสู่ราษฎรในกรุงเทพฯ แล้วขยายไปยังหัวเมืองใกล้เคียงในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา” (ข้อมูล : สถาบันอยุธยาศึกษา - ลอยกระทง ขอขมาธรรมชาติ)

       นอกจากเรื่องกระทงใบตองที่ในยุคปัจจุบันยังมีประดิษฐ์กันอยู่แล้ว ในยุคของท่านนั้นมีกวีเอกอยู่หลายท่าน แต่จะขอกล่าวถึง 2 ท่านที่เกี่ยวข้องกับ พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพท่านแรกก็คือ “คุณสุวรรณ”
       คุณสุวรรณนี้ เมื่อเจริญวัย บิดามารดา จึงได้ถวายตัวให้รับราชการฝ่ายใน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่าคุณสุวรรณ "มีอุปนิสัยใจรักการแต่งกลอนมาแต่ยังเด็ก ได้ถวายตัวทำราชการฝ่ายในตามเหล่าสกุล เมื่อรัชกาลที่ 3 อยู่ที่ตำหนักพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ"[1]
       คุณสุวรรณได้แต่งเพลงยาวทำนองเป็นจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์ขึ้น 2 เรื่องคือ เพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ และเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เพลงยาว 2 เรื่องนี้มีการบันทึกเรื่องราวของหญิงชาววังไว้เป็นอย่างดี รวมถึง "การเล่นเพื่อน" ของหญิงชาววังด้วย

       คุณสุวรรณนั้น พวกชาววังสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ มักพูดกันว่า เธอเสียสติ หรือเจ้านายบางพระองค์วิจารณ์ว่า เธอฟุ้งไปด้วยเรื่องหมกมุ่น แต่งหนังสือ 'บ้าๆบอๆ' เช่นแต่งกลอน ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องพระมะเหลเถไถ และอยู่ดีๆก็เอาตัวละครในเรื่องต่างๆมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน (คือเรื่องอุณรุทร้อยเรื่อง) แต่ที่จริงแล้วคุณสุวรรณคงไม่ได้บ้าหรือเสียสติอย่างที่พูดๆกัน ที่เธอแต่งเรื่องพระมะเหลเถไถ หรืออุณรุทร้อยเรื่อง ก็คงเป็นด้วยความตั้งใจจะทำอะไรๆให้แปลกให้แหวกแนวออกไป หรืออาจแต่งประชดประชันระบายอารมณ์ที่เก็บเอาไว้ คุณสุวรรณคงไม่ได้บ้า หากแต่ 'ทำเป็นบ้า' เพราะคุณสุวรรณนั้น เล่ากันมาว่า เธอจงรักภักดีใน พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ในรัชกาลที่ ๓ นักหนา เมื่อสิ้นพระชนม์คุณสุวรรณจึงเศร้าโศกเสียใจมาก (กรมศิลปากร.รวมวรรณคดีห้าเรื่อง(บทละครเรื่องพระมะเหลเถไถ บทละครเรื่องอณรุทร้อยเรื่อง กลอนเพลงยาวเรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ กลอนเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอับสรสุดาเทพ และบทละครเรื่อง ระเด่นลันได).ศิลปบรรณาคาร.2511)

       เป็นไงบ้างครับผ่านไป 1 กวีในยุคนั้นซึ่งหนังสือที่คุณสุวรรณแต่งคงผ่านสายตาผู้อ่านในยุคนี้หลายๆคนและกลายเป็นละครจักรๆวงศ์ๆ ช่วงเช้าๆวันเสาร์-อาทิตย์ในปัจจุบันอีก ส่วนกวีอีก 1 ท่าน ชื่อของท่านในยุคปัจจุบันนี้ ก็กลายเป็น landmark ประจำ อ.แกลง จ.ระยองไปเรียบร้อยแล้วครับ และชื่อของท่านก็กลายเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในปัจจุบันคือ"วันสุนทรภู่"

sunthornphu_01 (ในการนี้ รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่อง "สุนทรภู่" ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก โดยในวาระครบรอบ 200 ปีเกิด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ต่อมา นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของสุนทรภู่ ให้แพร่หลายในหมู่เยาวชนและประชาชนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น "วันสุนทรภู่" ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่"วัดเทพธิดาราม" และ ที่จังหวัดระยอง และมีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป )

       ใช่แล้วครับเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่าน “สุนทรภู่” ลองค้นข้อมูลที่เกี่ยวพันระหว่างกวีท่านนี้และกรมหมื่นอับสรสุดาเทพก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะแม้แต่ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 3 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ก็ได้เขียนถึงท่านว่า "กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ เป็นถึงพระราชบุตรีที่โปรดปรานมาก คนก็เข้าพึ่งพระบารมีแทบทั้งแผ่นดิน" แน่นอนว่าท่านคงไม่ธรรมดาแน่ เพราะแม้แต่สุนทรภู่ที่บวชหนีราชภัย ก็ยังเข้ามาขอพึ่งพระบารมีเจ้านายองค์นี้ โดยย้ายจากวัดเลียบราชบูรณะมาอยู่วัดเทพธิดารามถึง 3 ปี (พ.ศ.2383-2385) และได้แต่ง รำพันพิลาป ขึ้นที่นี่ก่อนลาสึก

1191873799       นี่ไงครับ สตรีผู้ที่มีส่วนและอยู่เบื้องหลัง ชื่อเสียงระดับโลกของกวีเอกไทย และมีอีกเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนในยุคปัจจุบัน ก็คือเรื่อง "ภิกษุณี" ที่ทุกวันนี้มีข่าวในประเทศว่าจะให้มีหรือไม่สำหรับภิกษุณี นี้ หรือถ้าพวกเราอยากเห็น ภิกษุณี ตัวเป็นๆ ก็ต้องเดินทางไปดูที่ ศรีลังกา หรือไต้หวัน แต่ถ้าพวกเราอยากเห็นจริงๆในรูปแบบประติมากรรม ก็ให้ไปดูที่”วัดเทพธิดาราม” ซึ่งเป็นวัดประจำพระองค์ของเจ้านายพระองค์นี้ ภายในวัดจะมี ประติมากรรมกลุ่มผู้หญิงอยู่ในพระวิหาร เป็นรูปหล่อตะกั่วปิดทองที่เรียกกันว่ากลุ่ม "ภิกษุณี" จำนวน 52 รูป ตั้งอยู่หน้าพระประธานที่ประดิษฐานอยู่เหนือบัลลังก์บุษบก ที่เชื่อว่าเป็น "ภิกษุณี" เพราะโกนศีรษะและแต่งตัวแบบนักบวช พวกเธออยู่ในท่านั่ง มีอยู่ด้วยกัน 4 แถว (อีกอย่างที่เราเกิดสงสัยขึ้นมาก็คือบางทีพวกเธอทั้งหมดอาจเป็นตัวแทนของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพและนางข้าหลวงผู้ติดตามก็ได้เพราะรูปปั้นเหล่านั้นถึงแม้จะโกนผม แต่ทั้งหมดล้วนกันไรซึ่งแสดงว่าเธอทั้งหลายเป็นสตรีชาววัง-วารุณี โอสถารมย์ (ห ม า ย เ ห ตุ สั ง ค ม – เที่ยววัดเทพธิดาแล้วคิดถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ))


  และถ้าท่านผู้อ่านอยากรู้เรื่อง ภิกษุณี เพิ่มเติม ลองตามลิ๊งนี้ดูนะครับ  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1017        ท้ายที่สุดนี้ผมขออนุญาตนำ ข้อความดีๆของ คุณวารุณี โอสถารมย์ มาปิดท้ายบทความนี้เพราะเธอพรรณาได้จับใจผมจริงๆครับ

       “ถ้าเช่นนั้น วัดเทพธิดารามวรวิหารที่เราเข้าไปเที่ยวชมนั้น คงไม่ได้เป็นเพียงแค่วัดที่มีอดีตให้จดจำว่าสร้างให้กับเจ้านายสตรีสูงศักดิ์พระองค์หนึ่ง เพื่อให้ทำหน้าที่สืบทอดพุทธศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นอนุสรณ์แสดงถึงเป็นตัวตนของเจ้านายพระองค์นี้ด้วย…...อนุสรณ์ที่รอวันเวลาให้ผู้คนในยุคปัจจุบันค้นพบและทำความรู้จัก…...ให้ระลึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งเคยมีบทบาทในสังคมไทย”.......จนถึงปัจจุบัน

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The way to Lord Ganesha-02

       สวัสดี ครับ เป็นไงกันบ้างครับ ต่อจากบทความ The way to Lord Ganesha-01 ท่านถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหนได้หรือยังครับ (เลือกมา 1 ปางแล้วศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้ลึกซึ้งในปางนั้น ให้ใจของท่าน(ผู้อ่าน)นำพาไปหาปัญญา-ความรู้-คติธรรมหรือแม้แต่แก่นในการใช้ชีวิตที่ซ่อน อยู่ในตัวท่านพระพิฆเนศ ) ในบทความนี้เป็นข้อมูลของพระพิฆเนศ บน Social Network ที่กำลังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเราในขณะนี้ เช่น นั่ง Taxi ก็ tweet, กินข้าวอยู่ ก็ต้องแบ่งปันภาพการเอาอาหารใส่ปากให้เพื่อนๆดู (share) และเพื่อนเราก็ชอบนะครับ (I Like)เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้จริงๆครับ ก็มีส่วนหนึ่งที่แบ่งปันข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับ พระพิฆเนศ ผมขอเพิ่มเติมบางส่วนนะครับ
Ganesh-hi5

       เริ่มจาก Social Network ที่ชื่อ  HI 5 ขวัญใจ วัยทีน-วัยรุ่น-วัยศึกษา โดยใน HI 5 ให้ไปค้นหา กลุ่มในหมวดศาสนาและความเชื่อโดยจะเลือกค้นหาในภาษาใดก็ได้ แล้วข้อมูลของท่านก็จะปรากฏขึ้นมาให้ผู้อ่านเห็น แล้วลงเลือกกลุ่มที่ตัวเองชอบนะครับ แล้วคลิกเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่มนั้น เพื่อที่จะรับ ข้อมูล-ข่าวสาร-กิจกรรม ที่สมาชิกกลุ่มนำมาแบ่งปันกันในกลุ่ม และถ้าผู้อ่านมีข้อสงสัยใดเกี่ยวกับพระพิฆเนศก็สามารถเข้าไปตั้งคำถาม ภายในกลุ่มนั้นได้อีก เป็นยังไงครับ Social Network ที่น้องๆ หลานๆ เข้าไปผ่อนคลาย   หามิตรภาพ   หาเพื่อน  เล่นเกมส์ออนไลด์ แถมยังได้มีความรู้เกี่ยวกับศาสนา ด้วยครับ


Ganesh-FB       ต่อมาก็เป็น Social Network สุดฮิตที่มีผู้ใช้ถ้าคิดเป็นประเทศ ต้องถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ใช่แล้วครับ Face Book นั่นเองครับ วิธีการค้นหาท่านพระพิฆเนศก็เหมือนกัน ใน HI 5 แหละครับ คือเข้าไปหากลุ่ม หรือพิมพ์ คำว่า “พระพิฆเนศ, Ganesh, Vinayak” หรือพระนามของท่านต่างๆลงในช่องค้นหาใน Face Book แล้วข้อมูลของพระพิฆเนศก็จะปรากฏให้ท่านเห็นดังรูป แต่ข้อมูลใน Face Bookจะมีพิเศษหน่อยตรงที่ว่าหลายๆกลุ่มเป็นการรวมตัวของสมาชิกภายในประเทศต่างทั่วโลก ซึ่งหมายความว่า น้องๆ หลานๆ ภาษาอังกฤษตั้งมีติดตัวหน่อยนะครับ แต่เพื่อความปลอดภัยให้ติดตั้ง application ของ Facebook ที่ชื่อว่าTranslation ภายใน Facebook ของท่านผู้อ่านด้วย เพราะบางกลุ่ม เป็นกลุ่มคนชอบพระพิฆเนศ ภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส หรือรวมทั้งภาษา Hindi ด้วย จะได้แปลได้ทุกภาษาทั่วโลกไงครับ


diamond ganesh-00       นอกจากนี้ถ้าท่านผู้อ่านยังต้องการข้อมูลของพระพิฆเนศเพิ่มเติมอีก ลองไปดูที่ Google Guru หรืออีกที่ก็มี Yahoo รอบรู้ ลองไปตั้งคำถามที่ ท่านอยากรู้เกี่ยวกับพระพิฆเนศไว้ที่นั่นนะครับแล้วจะมีคนที่มีความรู้และข้อมูลในสิ่งที่ท่านอยากรู้ มาตอบคำถามให้ นั่นก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งนะครับ ท้ายนี้ผมมีของมาฝากเช่นเคย เป็นภาพพระพิฆเนศประดับเพชรจะ เป็นเพชรจริงหรือเพชรปลอมติดตามอ่านกันต่อที่  mylordganesha.wordpress.com 

       อย่าลืมนะครับให้ ท่านถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหน แล้วพาตัวท่านเองไปหาคติธรรมที่อยู่ในตัวองค์ท่าน แล้วท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่า ทำไม พระพิฆเนศ จึงเป็นเทพแห่งความสำเร็จ …..
ขอให้สำเร็จกันทุกคนนะครับ……..โชคดีครับ

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Himmapan’s Fruit-มัคคะลีผล

       วันนี้บังเอิญผมได้ไปเห็นภาพๆหนึ่งที่เขาว่าเป็นเทคโนโลยี่ ทางการเกษตรของจีน ที่สามารถผลิตผลสาลี่ให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ได้ แต่ทำไมข้อมูลมีน้อยเหลือเกินแค่ 4-5บรรทัด ก็ลองค้นหาข้อมูลต่อไปอีก
HM-Fruit-02  HM-Fruit-01
ก็ไปพบอีกภาพเป็นรูปต้นไม้ที่มีผลเป็นผู้หญิงขนาดย่อม และไม่มีข้อมูลอะไรเลย แถมยังบอกว่าเป็นของจริงอีก เอาเป็นว่าผมไม่สามารถสรุปได้ว่า รูปทั้ง 2 รูปนั้นมีที่ไปที่มายังไง แต่ก็ทำให้ผมนึกถึงรูปๆหนึ่ง ที่ผมถ่ายรูปนั้นไว้หลายปีแล้วได้ เป็นภาพ มัคคะลีผล ที่ลงรักษ์ปิดทองไว้ บนบานหน้าต่างบานหนึ่ง ที่ศาลารอบองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
HM-Fruit-03
    จำได้ว่าที่ผมถ่ายรูปนั้นไว้เพราะความน่ารักของท่านฤาษี ที่ช่างหรือจิตรกร ได้วาดและกำหนดไว้ให้ท่านฤาษีถือดาบไว้ในมือ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ชมภาพนี้เข้าใจเจตนาของฤาษีตนนี้ว่า กำลังจะไปสอยมัคคะลีผลมาเป็นสมบัติของตนแน่นอน โดยที่ความจริงแล้วฤาษีตนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าโดน แผนนารีพิฆาตของท้าวสักกะ(พระอินทร์)อยู่คือ
       เมื่อประมาณสามหมื่นปีก่อน พระเวสสันดร พร้อมด้วยพระนางมัทรี และบุตร 2 คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น ท้าวสักกะเทวราช ได้เล็งเห็นอันตรายในป่านั้นจึงได้เนรมิตบรรณศาลาสำหรับพระเวสสันดร พระนางมัทรี และกุมารทั้ง 2 ขณะบำเพ็ญอยู่นางมัทรีต้องออกหาผลไม้ในป่านั้น ซึ่งมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ซึ่งยังมีกิเลส เกรงว่าจะมาล่วงศีลพระนางมัทรี ท้าวสักกะเทวราช จึงได้เนรมิตต้นมัคคะลีผล เป็นมัคคะบัญชา หรือเป็นต้นไม้แห่งคำสาปของพระอินทร์ จำนวน 16 ต้น ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงบรรณศาลา
      ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย  เทพธิดาแต่ละนางที่มาเกิดนั้น หาได้ถูกบังคับมาไม่ แต่เป็นผลกรรมที่ต้องมาเกิด
เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล  เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้  เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี  การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้
เห็นมั๊ยครับแผนนารีพิฆาตของท้าวสักกะยอดเยี่ยมมั๊ยครับ ติดตามกันต่อนะครับ บทความหน้า The way to Lord Ganesha-02 แน่นอนครับ (ขอขอบคุณ เวบกระทิงเขียว  สาระและบันเทิงเพื่อทุกๆคน ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล)

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The way to Lord Ganesha-01

        หลายอาทิตย์ก่อนผมได้ chat ผ่าน facebook กับเพื่อนฝรั่งคนหนึ่ง ชื่อ Mr. Honza Strard พ่อหนุ่มคนนี้เป็นชาว สาธารณะเช็ค ครับ แต่ไปเรียนโยคะที่อินเดีย  (แอบอิจฉาแกอยู่อย่างที่ได้ขึ้นไปเที่ยวเทือกเขาหิมาลัยแล้ว-แต่ผมยังนั่งฟังข่าวน้ำท่วมแถวชานเมืองกรุงเทพอยู่เลย) ก็พูดคุยกันหลายเรื่อง มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ พ่อหนุ่มคนนี้ถามว่า Ganesh-honzaทำไมไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระพิฆเนศหละ “He lead your life” ใช่ครับโดนใจผมมาก ประโยคนี้นั้นแหละจึงเป็นที่มาของบทความนี้ครับ

      เนื้อหาของบทความผมคงไม่ โน้มน้าว, ก้าวก่าย, หรือตัดสินถูกผิด กับเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนาหรอกนะครับและไม่ขัดแย้งกับผู้รู้ทั้งหลาย แต่ผมจะขอเสริมข้อมูลให้กับ น้องๆหลานๆ (คนยุค Generation Y 1985-2001& New Gen ) ที่สนใจเกี่ยวกับพระพิฆเนศ ผ่านคนยุค Generation x (1965-2000) อย่างตัวผม.

       ในยุคนี้นะครับ การสือสารออนไลท์ - โลกไซเบอร์ - อินเตอร์เน็ท -  คอมพิวเตอร์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้วครับ ถ้าท่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็แสดงว่าท่านกำลังใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากอ่านบทความจบแล้วให้ ลุยเลยครับ พิมพ์ คำเหล่านี้ลงไปใน Seach Engine ที่คุณชอบ (Google ก็ดี)เช่น “ พระพิฆเนศ, พิฆเนศวร, คเณศ, เทพแห่งความสำเร็จ, ครูช่าง, ครูช้าง, ตรากรมศิลปากร, ฯลฯ (พระนามท่านมี 108 พระนาม) นั่นแหละครับข้อมูลท่านในแบบภาษาไทยจะหลั่งไหลมาให้ท่านเลือก(ประมาณ 550,000 ข้อมูล) ค้นหาแล้วอ่านนะครับ แล้วตัวท่านเองชอบข้อมูลไหน ให้ถามใจตัวท่านเองว่าชอบท่านแบบไหน ปางอะไร ? (นั่ง-นอน-ยืน-เดิน-เต้นรำ) เมื่อท่านเลือกรูปแบบของกริยาที่พระพิฆเนศทำ คือมี 5 กริยาตามข้างต้นแล้ว ก็เลือก สิ่งของที่อยากให้ท่านถือ ถ้าอยากให้พระพิฆเนศท่านถือสิ่งของเยอะ ก็ควรพิจารณาปางที่มีพระกรมากหน่อย มีให้เลือกตั้งแต่ 2 กร, 4 กร, 8 กร, 16 กร, 32 กร ครับ และสิ่งของในมือท่าน พระพิฆเนศ ก็มีอีกหลายหมวด เช่น  หมวดอาวุธ ก็มี ขวาน, ธนู, บ่วง, คฑา ฯลฯ หมวดเครื่องดนตรี เช่น วีณา (เครืองดนตรีทางอินเดียที่พระแม่สรัสวตีถือ) หมวดพืชและผลไม้ เช่น หัวผักกาด, มะม่วง, มะพร้าว, เมล็ดข้าว, น้ำผึ้ง ฯลฯ  มีหลายหมวดครับและสิ่งของที่พระพิฆเนศถือแต่ละชิ้น ในมือแต่ละมือก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไปอีกครับ แต่ที่แน่ๆต้องมี 1 มือ(พระหัตถ์) คือมือขวาที่มัก มีกริยาหงายมีอประทานพรให้แก่พวกเรา

       คราวนี้ก็มาถึงพาหนะและบริวารของท่านบ้าง ถ้าเราพิจารณา ปางหลัก 32 ปางของพระพิฆเนศแล้วจะเห็นว่าพาหนะท่านจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ หนูและสิงโต โดย หนูจะเป็นทั้งบริวารและพาหนะที่พบเห็นบ่อยที่สุด ส่วนในปัจจุบันก็มีปางอืนๆที่มีพาหนะและบริวารอื่นเพิ่มเติมเช่น  พระพิฆเนศประทับบนหอยบ้าง, ประทับบนช้างบ้าง, เรือสำเภาบ้าง, พญานาคบ้าง เป็นต้น

       อย่าลืมนะครับ ให้ถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหน เลือกมา 1 ปางแล้วศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้ลึกซึ้งในปางนั้น ให้ใจของท่าน(ผู้อ่าน)นำพาไปหาปัญญา-ความรู้-คติธรรมหรือแม้แต่แก่นในการใช้ชีวิตที่ซ่อน อยู่ในตัวท่านพระพิฆเนศ แล้วท่านก็จะเหมือนกับทุกๆคนที่รักหรือบูชา พระพิฆเนศ ที่เริ่มจากพระพิฆเนศ ในดวงใจ 1 ปาง แล้วลองไปดูหิ้งพระที่บ้านพวกเขาในปัจจุบันซิครับ มีพระพิฆเนศมากกว่า 1 ปางแน่นอนทุกคน

       ท้ายนี้ผมขอฝากผลงาน คุณ Santoshi คนเขียน blog ชาวอินเดีย ฝีมือ photoshop จัดจ้าน(black2dart.blogspot.com) ที่มีพระพิฆเนศในจิตนาการของเขาเป็นอย่างไรสำหรับ คนยุค Generation y และผมอยากให้ดู vdo ที่ icon youtube ด้านล่าง ชื่อ file : my ganesha ว่าการร้องเพลงสรรเสริญพระพิฆเนศในสไตล์ hip-hop โดยศิลปิน mc yogi เป็นเช่นไรครับ คุณต้องชอบแน่ๆ  

                  Dark ganesh-01   Dark ganesh-02

และแน่นอนครับ บทความหน้าเป็นเรื่องของพระพิฆเนศใน Social network ติดตามกันนะครับ

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

King Rama 5

เนื่องในวันปิยะมหาราช มหาราชของปวงชนชาวไทยทุกคน

            Thai Arts

พระคาถาบูชาพระพุทธเจ้าหลวง แบบย่อ

"พระสะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง
พุทโธ นะโม พุทธายะ"
หรือแบบเต็ม "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
อิติปิโส วิเสเส อิอิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตัง พุทธะปิติอิ
พระสะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง
พุทโธ นะโม พุทธายะ มาสีสะมานัง"

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Art-Dead-02

       ความจริงบทความนี้เป็นเนื้อหาเดียวกันกับ Art-Dead-01 แต่ผมแยกเนื้อหาและรูปภาพกับบทความแรกเพื่อความเหมาะสมนะครับ ต่อกันเลยนะครับ อีกไม่กี่วันก็ใกล้ถึงวัน ฮาโลวีน( วันที่สถานบันเทิงกลางคืนในประเทศไทยมักจะมีการประกวดผีสาวเซ็กซี่) ซึ่งเป็นวัฒนธรรม-ประเพณี ทางฝรั่งเขา  ถือว่าวันฮาโลวีนนี้เป็นวันดี เหมาะสำหรับจัดงานแต่งงาน การทำนายโชคชะตา หรือแม้แต่เรื่องความตายยังถือว่า วันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่ภูติผีวิญญาณจะช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่คนเป็นต้องการสามารถเป็นไปตามใจปรารถนา ประมาณเที่ยงคืนของวันฮาโลวีนสาวอังกฤษจะออกมาหว่าน และไถกลบเมล็ดป่าน พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน และท่องคาถาร้องขอให้มองเห็นภาพของว่าที่คู่ชีวิตของตนในอนาคต เมื่อสาวเจ้าเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายก็จะได้เห็นภาพนิมิตของผู้ที่จะมาเป็นสามีของตนในอนาคต   อีกประเพณีหนึ่งของชาวอังกฤษ คือ การหย่อนเหรียญ 6 เพนนีลลงในอ่างน้ำ พร้อมแอปเปิ้ล ผู้ใดสามารถแยกแยะของสองสิ่งนี้ออกจากกันได้โดย ใช้ปากคาบเหรียญ และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดได้ในครั้งเดียว ผู้นั้นจะมีโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือน (ข้อมูลจาก Sanook.com)

       อย่างที่บอกครับ บทความนี้กล่าวถึง ศิลปกับความตาย โดยมองผ่านสัญลักษณ์อย่างหนึ่งคือหัวกระโหลก ครับ ผมกำลังจะกล่าวถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีมุมของ ศิลปกับความตาย เช่นกันแต่ได้เพิ่มอีกอย่างลงไป คือร่างกายของพวกเขา ใช่ครับพวกเขาสัก ศิลป-ความตายตามรสนิยมของเขาลงในร่างกายของเขา (ถ้ามองดีๆน่าจะให้ข้อคิดเยี่ยมๆได้เลยครับ)

Tattoo-art-dead
    
       ในวันฮาโลวีนนี้คิดว่าพวกเขาคงออกไปร่วมงานแต่ไม่ต้องตกใจนะครับ ไปทำความคุ้นเคยกับพวกเขาก่อน เข้าไปที่ google แล้วพิมพ์คำว่า weird tattoo ข้อมูลพวกเขาจะออกมาให้ท่านๆ ชมความงามของศิลปตามรสนิยมของเขาครับ ส่วนอีกอันหนึ่งที่ผมนำมาฝากคือ ไอเดียเยี่ยมๆของธุรกิจที่ขายเครื่องมือทางการแพทย์ เขาสามารถสื่อให้เห็นถึงศักยภาพ-ความสามารถของตัวสินค้าที่เขาขายอยู่

calendar-art-dead

       ครับเขานำนางแบบมาโพสท์ท่าทางเ ซ็กซี่แล้ว x-ray ครับแล้วพิมพ์เป็นปฏิทินให้ลูกค้าเขา ถ้าจะตั้งฉายาของงานชุดนี้ผมขอเสนอให้ชื่อว่า สุดยอดปฏิทิน xxx นะครับแล้วผมจะนำ url ของที่นี่มาลงให้ เผื่อมีคนสนใจเพิ่มเติม อีก 2 รูปสุดท้ายของศิลป-ความตาย(ผ่านหัวกระโหลก) แต่สามารถสื่อทั้ง 2 อย่างแล้วเป็นสินค้าขายทางอินเตอร์เน็ตได้อีกด้วยครับ

                                 

    ก็หวังว่า บทความชุดนี้ คงสะท้อนแง่มุมที่ทุกคนไม่ค่อยจะนึกถึงได้นะครับ Art and Dead-ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Art-Dead-01

           บางทีนะครับ คนเราก็พยายามลืมความจริงประโยคหนึ่ง คือ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย  หรือ ยอมรับบางข้อ คือ เกิดมาแล้ว แต่ฉันไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย  แต่การเกิด-การแก่-การเจ็บ-การตาย  นั่นแหละครับคือ สิ่งที่จะเกิด กับทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ทุกๆการกระทำในโลกนี้ ไม่ว่าในวงการไหน หนีประโยคนี้ไม่พ้นครับ ก็จะขอหยิบมุมมองของความตายที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ หัวกระโหลกครับ คือถ้าใครเห็นหัวกระโหลก คงไม่คิดว่าเจ้าของกระโหลกนี้ มีชีวิตสุขสบายดีหรือเปล่านะครับ แน่นอนครับ ตายแน่นอน แต่ในทางศิลปได้หยิบยกความจริงข้อนี้(ความตาย) มาสื่อให้ผู้คนได้เห็นและยอมรับว่ายังมีความตายอยู่รายรอบตัว-ในชีวิตประจำวัน แล้วแฝงคติธรรม ความเชื่อทางศาสนา ลงไปในงานนั้น โดยเฉพาะศาสนาคริสท์ ที่ผู้คนต้องไปโบถส์ ทุกสัปดาห์ ต้องเห็นงานศิลปประเภทนี้ในชีวิตประจำวันของเขาแน่นอน อย่างรูปที่ผมลงก็ ถ่ายจากโบถส์หนึ่งในอังกฤษเป็นงานสลักหินครับ(ไม่ใช่ถอดพิมพ์ยางแล้วเทเรซิ่น)    


                                                       
           ส่วนศานาอื่นๆก็มีครับแทบทุกศาสนา  อย่างรูปถัดมา  ก็เป็นหัวกระโหลกที่ประดับบนองค์พระพิฆเนศ (Lord Ganesha) ซึ่งศิลปแนวนี้มักพบมากแถบอินโดนืเซีย (ใครมีข้อมูลเพิ่ม ช่วยเขียนลงใน comment ใต้บทความเลยนะครับ-ยินดีครับ)
                                                                                                     
  
vinayak-vanich
                                                 
           ส่วนรูปนี้ก็เป็นแม่กาลี(Kali Ma) รูปนื้เป็นงานสลักหินที่วัดแห่งหนึ่งในประเทศ เนปาลเป็นปางที่ช่วงบนขององค์ท่านเหมือนปางอื่นทุกประการ จะต่างกันที่ท่านั่งที่นั่งชันเข่า  บางที่ก็เรียกนามท่านว่า Nar Devi  และเช่นเคยครับ สร้อยที่ท่านสวมอยู่ก็เป็นศรีษะของมารที่ท่านปราบ(บ้างก็เป็นหัวกระโหลก) (ภาพของเดิมสีซีดมากตกแต่งใหม่โดย vinayak-vanich)


vinayak-vanich

           ต่อด้วยงานแบบไทย ภาพด้านซ้ายคือท่านพระยายม ซึ่งท่านถือไม้เท้าหัวกระโหลกตามคติความเชือ และภาพต่อไปเป็นท่านท้าวเวสสุวรรณ ถือไม้เท้าหัวกระโหลกเช่นกัน (ภาพนี้ผลงานของคุณ boy เข้าไปใน facebook นะครับแล้วพิมพ์คำว่า tadatada แล้วจะพบคุณบอยที่นั่น)





           จะเห็นนะครับว่า ไม่ว่าศาสนาไหนมักจะแฝงคติหรือความจริงเรื่องความตายผ่านทางศิลปเพื่อสื่อให้ผู้ที่ชมงานเหล่านั้นให้รู้สึกได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับผมแล้วผมแค่รู้สึกว่าเวลาที่เรามีอยู่ในโลกนี้น้อยจัง มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำเลยครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เก็บตก Links

       วันนี้ผมขอมาเก็บตก links ที่ผมขึ้น ลิ๊งค์ ไว้นานแล้วแต่ลืมบอกรายละเอียด จริงๆต้องอยู่ในบทความ ลิ๊งดีๆน่าติดตาม" แต่คงไม่สายนะครับต้องขอโทษด้วยครับ เริ่มกันเลยครับ ลิ๊งค์ที่ผมว่านี้ คือ





www.reurnthai.com - เรือนไทย.วิชาการ.คอม ที่ได้รับรางวัล - เว็บดีเด่นประจำปี 2549 ครับ ที่นี่ สาระแน่นปึ๊กเช่นเคยครับ อยากรู้เรื่องไทยๆ ลองแวะมาที่นี่ดูก่อน พกความสงสัยอยากรู้เข้าไปตามหมวด
               - ศิลปวัฒนธรรม        - ภาษาวรรณคดี
               - ระเบียงกวี               - ชั้นเรียนวรรณกรรม
               - หน้าต่างโลก           - ประวัติศาสตร์
               - ทันกระแส               - ห้องหนังสือ
               - ชมรมอนุลักษณ์ภาพจิตรกรรมไทย

ไปที่นี่เลยครับ www.reurnthai.com    รับรองว่าคุณได้ความรู้กลับมาอีกแน่นอน หรือใครต้องการจะ share สิ่งที่ตัวเองมีและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นในแบบไทย ก็สมัครเป็นสมาชิกไปเลยครับ ที่ผมชอบส่วนตัวคือหมวด - ชมรมอนุลักษณ์ภาพจิตรกรรมไทย- ที่นี่ใครไปเที่ยวไหนมา(วัดไทย) แล้วได้ถ่ายรูปไว้ เขาเอามา share กันในนี้ครับ บางกระทู้มีประวัติต่างๆให้เสร็จ นับเป็นการอนุรักษ์จิตรกรรมไทยไปในตัว -เยี่ยมครับ
    
        ส่วนอีก link ก็เป็นที่ที่เขาตั้งใจ เอาหนังสือธรรมะ มาแจก(ฟรี) หรือร่วมสบทบทุนพิมพ์หนังสือธรรมะ ก็ไปที่นี่นะครับ www.96rangjai.com ในเว็บเขาก็มีความรู้เกี่ยวกับทางพุทธศาสนาในเรื่องต่างๆให้คุณได้อ่านเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Raj Prasong & I

        วันก่อนผมนั่ง เช็คข้อมูลในหน้า facebook profile ของผม บังเอิญให้เห็นบทความของ Nueng Chom แห่ง BKK girl (http://bangkokgirllife.blogspot.com/ ) update  บทความของเธอมาเรื่อง การกลับมาของห้าง  Center World ทำให้ผมนึกถึงตัวเองขึ้นมาว่า ไม่ได้ตามข่าวใดๆทั้งสิ้นที่เกี่ยวข้องกับแยกนี้เลย ทั้งทาง วิทยุ-ทีวี-หนังสือพิมพ์ ตั้งแต่มีเหตุการณ์ใหญ่ที่แยกนี้เมื่อหลายเดือนก่อน จนเห็นบทความนี้ ก็นึกถามตัวเองว่าเรามีเหตุการณ์อะไรบ้างที่เราไปเกี่ยวข้องที่แยกนี้ 

         อย่างแรกก็ต้องย้อนไปโน่นเลยครับตอนเรียนจบมหาลัย ปีแรก ได้เข้าทำงานที่ บริษํทญี่ปุ่น บน ถ.สีลม วันนั้นต้องทำงานนอกสถานที่ให้บริษัท หลายอย่างครับ จนเย็น มานึกได้ว่า ลืมกล้องถ่ายรูปที่ไปถ่ายรูปสินค้า  ที่ผิดสเปกเพื่อเครมของกลับไปที่ ญี่ปุ่น มูลค่าสินค้าในกล้องก็ 7 หลัก ครับ นึกตั้งนานว่าผมไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน ก็นึกไม่ออก นั่งเหงื่อตก หันไป หันมา เห็นพระพรหม(เอราวัณ) ท่านมองอยู่ ก็ไม่รู้ทำไงครับ ขอพรท่านซะเลย ช่วยลูกช้างด้วย ปรากฏว่า ได้ผลครับ บ่ายวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ ธ.ไทยพาณิชย์ สนง.ใหญ่(สมัยก่อนอยู่แยกวิทยุตัด ถ.เพชรบุรี) โทรมาบอกว่ามีกล้องของ บริษัทลืมไว้บน เคาเตอร์ ธนาคาร ก็เลยรอดตัวไปครับ....ได้กล้องคืนด้วยความเมตตาของท่านพระพรหมเอราวัณกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร



เรื่องที่สอง ก็ เป็นรูปพระตรีมูรติ(แยกราชประสงค์) ที่ผมทำไว้นานแล้ว เห็นว่าเริ่มพบบ่อยชึ้นทางเน็ต ไหนๆก็ไหนๆครับ download ฟรีได้เลยครับ ทั้งภาพจริงต้นฉบับที่ผมถ่ายไว้ และภาพกราฟฟิกที่ทำขึ้นใหม่ ภาพต้นฉบับให้ไว้เผื่อใครอยากตกแต่งภาพตามสไตล์ของตัวเอง ส่วนภาพที่ทำกราฟฟิกใหม่ ก็   บอก e mail มาที่ผมเลยครับหรือพิมพ์ ที่คอมเมนต์บทความนี้ก็ได้ จะส่งภาพให้สำหรับผู้ที่ ศรัทธาท่านจริง ฟรีเหมือนเดิม ใครที่ต้องการต้นฉบับก็ไปที่นี่ นะครับ  http://picasaweb.google.co.th/vinayak.vanich/Trimurati?feat=directlink




ยังมีอีกมากนะครับเกี่ยวกับเรื่องศาสนา กับ แยกราชประสงค์ ไว้จะนำบทความมาลงภายหลังให้สมกับชื่ อ

                                          Hindu Gods Interscetion In thailand

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Thailand troungh the lens(of foreigners)

           สวัสดี อีกแล้วครับท่าน  วันนี้ผมนำสิ่งดีๆมาฝาก เป็นเรื่องมุมมองของต่างชาติที่ได้เข้ามา เที่ยวเข้ามาอยู่ในเมืองไทย แล้วเขาเหล่านั้นก็นำสิ่งสวยงามของชาติเรา ไปบอกกล่าวให้ชาวโลก(ไซเบอร์)รับรู้ว่าประเทศเราสวยงามอย่างไรบ้าง ช่วงหลังๆข่าวเรื่องของประเทศไทยฟังแล้วน่าหงุดหงิดไม่น่าพอใจพวกเราโดยเฉพาะคำว่า”ความเชื่อมั่นของต่างชาติ” แต่ผมขอเถียงครับ เรื่องเงินก็ส่วนของเรื่องเงิน แต่เรื่อง ความสวยงามของไทยและศิลปะของไทย ต่างชาติมั่นใจแน่นอน ดูงานของพวกเขาซิครับ สวยมากนะครับ แถมรูปบางรูปก็มีลิขสิทธิ์ อยากได้ต้องเสียเงิน (ภาพประเทศไทยแท้ๆ) และที่สำคัญพวกเขาก็มั่นใจฝีมือของเขาครับ งานก็ออกสวยมาก  โดยเฉพาะบางรูปได้รับการโหวตจากชาวโลกไซเบอร์ จนติดดาว(ภาพประเทศไทยนี่แหละ) เห็นงานของพวกเขาแล้วอิจฉาครับ ก็ตรงที่พวกเขาได้เห็นสิ่งสวยงามรอบโลกด้วยตาของเขาจริงๆ-เคลื่อนไหวได้ แต่ผมได้แค่มองภาพเหล่านั้นแล้วจินตนาการ ภาพเหล่านั้นเอาเอง รูปเหล่านี้อยู่ที่ flickr ครับ นำมาpreview 3-4 คน ที่ผมชอบส่วนตัว ก็ดูตามลำดับเลยนะครับ คนแรก ก็ 

Mr.Eric Rousset







Mr. iamguava






Mr.Zedzap





       แถมคนสุดท้าย  Mr.Honza Strnad    2 รูปนี้ผมชอบเป็นพิเศษเพราะมี แค่ 2 สีครับ ขาว-ดำ แต่ให้ความรู้สึกมากมายเหลือเกิน สงบ-เหงา-เปล่าเปลี่ยว-ถูกทอดทิ้ง-(แต่ท่านยังอยู่-ให้เราเห็น) 



       ตามกันไปค้นหาใน flickr นะครับพิมพ์ชื่อของพวกเขาในช่อง seach ใน flickr เจอตัวกันแน่นอนครับ แล้วผมจะนำผลงานของคนไทยมาบ้าง ทั้ง ใน flickr และ picasa มาให้พวกเราที่ชอบเสพงานศิลปะแบบไทยๆมาให้ชมกัน อีกที่ ก็มี น้องชม แห่ง http://bangkokgirllife.blogspot.com/ ได้บอกที่ๆรวมสถานที่สวยงามไว้หัวข้อว่า fairytale-destinations ก็สวยงามครับตามไปที่นี่นะครับ ถูกใจแน่นอน มีความสุขทุกคนนะครับ............สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

vinayak-vanich ส่วนหัวของ Blog

       สวัสดีครับ บทความนี้ขอกล่าวถึงตัวตนของบล็อคนี้นะครับ อย่างที่คอนเซ็ปของบล็อคนี้ บอกไว้นะครับว่าถ้าคุณชอบไหว้พระสวดมนต์ ถ้าคุณชอบงานศิลปแบบไทยๆ ถ้าคุณพักผ่อนโดยการท่องเที่ยว-ทานของอร่อย และท้ายสุดถ้าคุณชอบพระพิฆเนศ นั่นคือตัวตนของบล็อคนี้”  ทั้งหมดนี้ผมได้แปลงเป็นส่วนหัวของบล็อคเรียบร้อยแล้วครับ
       ในส่วนแรกนี้ ในประโยคของถ้าคุณชอบพระพิฆเนศชื่อของท่านก็อยู่ในส่วนของชื่อบล็อค และโลโก้บล็อคครับ ซึ่ง วินายัก (Vinayak) ก็คือ ศรีสิทธิวินายัก หนึ่งในแปด อัษฏะวินายัก เทวรูปพระพิฆเนศที่เกิดจากหินธรรมชาติ

ตั้งอยู่ที่เมือง สิทธิเตก ประเทศ อินเดีย ความสำคัญของท่าน ศรีสิทธิวินายัก องค์นี้คือถ้าอยากจะขอพรเรื่องความสำเร็จ ในด้านการงาน ต้ององค์นี้เลยครับและมีความเชื่อว่าจุดแรกที่สร้างโลกของพระพรหมคือสถานที่นี้ครับ และเป็นสถานที่พระพิฆเนศทรงสมรสกับพระนางสิทธิและพุทธิครับ ส่วนประวัติของทั้ง 8 องค์จะนำมาลงภายหลังนะครับ ส่วน วาณิช (Vanich) ก็ไม่มีอะไรมากครับก็แค่ชื่อต้นของนามสกุลผมแค่นั้นเอง. Vinayak-Vanich ผมใช้ ฟอนต์ amazon ซึ่งชอบ มานานให้ความรู้สึกเป็นกันเองและสนุกสนาน ส่วนเจตนาแอบแฝงอื่นไม่น่าจะมีนะครับเพราะมันตรงเกินไปที่จะบอกว่า บล็อกนี้จะขาย ของ amazon.com

       ในด้าน โลโก้ ผมใช้สีส้ม เพราะเป็นสีที่พบบ่อยในศานาฮินดู และทำไมต้องเป็น โลโก้ทรงกลม คำตอบคือผมชอบเจ้า Smiley ครับ เจ้าวงกลมสีเหลือง ยิ้ม ที่เราเห็นกันมานาน . ด้านในของวงกลมสีส้ม ก็เป็นกราฟฟิก ลายเส้นรูปท่านศรีสิทธิวินายัก ครับ(ลองดูตามรูปท่านองค์จริงกับกราฟฟิก) ส่วนดอกชบานั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งในสิ่งต่างๆทีมีไว้บูชาท่านในศาสนาฮินดูครับ.

       ถ้าคุณชอบไหว้พระสวดมนต์ ถ้าคุณชอบงานศิลปะแบบไทยๆในคอนเซ็ปนี้ ผมใช้ลายไทย จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภายในวัดพระแก้ว สื่อความหมายนี้ครับ แน่นอนว่าในขีวิตคนเราต้องมีอย่างน้อย 1 ครั้งที่เราต้องเข้าไปในวัดไม่ว่าจะเข้าไปทำกิจกรรมอะไรก็ตาม แล้ววัดอะไรหละที่จะมีความสำคัญและมีความหมายต่อชาวไทยทุกคน ในขณะเดียวกันภายในวัดนั้นจะมีศิลปไทยในระดับชั้นครูอยู่ด้วยหละ  คงมีอยู่ไม่กี่ที่หรอกนะครับและผมคิดว่าภาพที่นำมาทำกราฟฟิกนั้นก็น่าจะเหมาะสมแล้ว 



       ส่วนไอคอน รูปธงชาติไทย ผมชอบไอเดียของ  1.Google แปลครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชาติอะไรจงเลือกอ่านในภาษาของคุณเองถ้าคุณไม่ถนัดภาษาอังกฤษ(เข้าท่าครับ)  2.Flag Counter ไม่ว่าใครมาจากที่ไหนเข้ามาดูในบล็อคคุณ เราจะแสดงสัญชาติของเขาให้ (เข้าท่าครับ) 3.ผมไปเจอบางเว็บบางบล็อคพวกเขาติดธงชาติของเขาไว้เลยครับ ไม่ใช่เว็บหรือบล็อคของพรรคการเมืองหรือพวกคลั่งชาติหรอกนะครับ แต่เป็นการแสดงตัวตนของเขาในโลกไซเบอร์ให้ผู้ชมเว็บของเขารู้ว่า เว็บนี้ผู้ทำเว็บเป็นคนชาติอะไร(ด้วยการมอง) ผมเลยคิดว่าทำไมไม่แสดงสัญชาติตัวเองไปในโลกไซเบอร์นี้เลยหละ ผลของการคิดทั้งหมดทั้งสิ้นก็มาปรากฏอยู่ในส่วนหัวของ บล็อคตามที่ท่านเห็นอยู่นี่ไงละครับ 

ขอบคุณครับ