tag:blogger.com,1999:blog-85684821979095003952024-03-13T17:47:55.318+07:00Vinayak-VanichAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.comBlogger37125tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-64307076219627740432013-09-12T12:24:00.001+07:002013-09-13T10:58:12.929+07:00MahaKashyapa-พระมหากัสสปะเถระ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div style="text-align: right;">
</div>
<div style="text-align: right;">
</div>
<div style="text-align: right;">
</div>
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>สวัสดีครับ</b> ตอนที่ทางจังหวัดนครปฐม ได้จัดงาน 100 ปีพระราชวังสนามจันทร์ เมื่อหลายปีก่อน ผมได้มีโอกาสได้ไปเดินเที่ยวในงานด้วย มีงานศิลปะมากมายให้ได้ชมรวมทั้งภาพนี้ที่ท่านผู้อ่านเห็นอยู่นี้ สวยงามครับ เก็บภาพมาได้แต่ลืมจดว่าใครเป็นผู้วาด กลับมาดูอีกครั้งนึง ในภาพเห็นเท้า(พระบาท)ยื่นออกมา และมีพระสงฆ์องค์นึงจับเท้านั่นไว้ จึงให้อยากรู้ครับว่า ศิลปินท่านที่วาดภาพนี้อยากเล่าเรื่องราวอะไรให้เราทราบ แถมยังมี พระอินทร์และพระพรหม นั่งประทับ อยู่ ณ.ที่นั้นด้วย ผมก็เริ่มหาข้อมูลจากหลายที่หลายแหล่งพอที่จะรวบรวมเรื่องราวได้ตามนี้ครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-G8mSeHnJXI8/UjFMurfid-I/AAAAAAAABFE/lmFR8dsT1tE/s1600/Vinayak-Vanich-KSP-01.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="640" src="http://4.bp.blogspot.com/-G8mSeHnJXI8/UjFMurfid-I/AAAAAAAABFE/lmFR8dsT1tE/s640/Vinayak-Vanich-KSP-01.JPG" title="vinayak-vanich-MahaKashyapa-01" width="402" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-EmQW8dxD7n0/UjFMwJ7D9JI/AAAAAAAABFM/WircLV6gR4Q/s1600/Vinayak-Vanich-KSP-02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="400" src="http://1.bp.blogspot.com/-EmQW8dxD7n0/UjFMwJ7D9JI/AAAAAAAABFM/WircLV6gR4Q/s400/Vinayak-Vanich-KSP-02.jpg" title="vinayak-vanich-MahaKashyapa-02" width="256" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-SIFcNreDYjc/UjFMxpycwoI/AAAAAAAABFU/4Td2htfgUoU/s1600/Vinayak-Vanich-KSP-03.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="400" src="http://2.bp.blogspot.com/-SIFcNreDYjc/UjFMxpycwoI/AAAAAAAABFU/4Td2htfgUoU/s400/Vinayak-Vanich-KSP-03.jpg" title="vinayak-vanich-MahaKashyapa-03" width="231" /></a></div>
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span><b>"ครั้นเรียบร้อยแล้ว ก็อัญเชิญหีบทองนั้นขึ้นประดิษฐานบนจิตรกาธาร ทำสักการบูชา แล้วกษัตริย์มัลลราชทั้ง 8 องค์ ผู้เป็นประธานกษัตริย์ทั้งปวง ก็นำเอาเพลิงเข้าจุด เพื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระศพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพลิงก็ไม่ติดตามประสงค์ แม้จะพยายามจุดเท่าใดก็ไม่บรรลุผล มัลลกษัตริย์มีความสงสัย จึงได้เรียนถามพระอนุรุทธเถระเจ้าว่า "ข้าแต่ท่านพระอนุรุทธะ ด้วยเหตุอันใด เพลิงจึงไม่ติดโพลงขึ้น" "เป็นเหตุด้วยเทวดาทั้งหลาย ยังไม่พอใจให้ถวายพระเพลิงก่อน" พระอนุรุทธะเถระกล่าว "เทวดาต้องการให้คอยท่าพระมหากัสสปเถระ หากพระมหากัสสปเถระยังมาไม่ถึงตราบใด ไฟจะไม่ติดตราบนั้น" "ก็พระมหากัสสปเถระเจ้า ขณะนี้อยู่ที่ไหนเล่า ท่านผู้เจริญ" "ดูกรมหาบพิตร ขณะนี้ พระมหากัสสปะเถระ กำลังเดินทางมา ใกล้จะถึงอยู่แล้ว"</b> พระเถระกล่าว กษัตริย์มัลลราชทั้งหลาย ก็อนุวัตรตามความประสงค์ของเทวดา พักคอยท่าพระมหากัสสปเถระเจ้าอยู่" ที่เห็นในภาพเป็นงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระศพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีภิกษุและเทวดามาร่วมอยู่ในงานด้วยแต่ยังขาดพระภิกษุอีก 1 องค์คือ พระมหากัสสปเถระ แล้วตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span><b>"พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระมหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุบวชเมื่อแก่องค์หนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้กล่าวขึ้นว่า "หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะ นั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้อง เกรงบัญชาใคร" พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้น คิดจะทำนิคคหกรรม (ทำโทษ) แต่เห็นว่ายังมิควรก่อน และดำริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้คิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้ จึงควรจะทำการสังคายนาและจะชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ จากนั้นท่านจึงเดินทางไปยังเมืองกุสินาราเพื่อเป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ"</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span><b>"เมื่อพระมหากัสสปะและภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางมาถึงสถานที่ถวายพระเพลิงมกุฏพันธนเจดีย์แล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ รอบเชิง ตะกอน ๓ รอบ พระมหากัสสปะเปิดผ้าทางพระบาทแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้า โดยท่านกำหนดว่าตรงนี้เป็นพระบาทแล้ว เข้าจตุตถฌาน อันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากฌานแล้วอธิษฐานว่า "ขอพระยุคลบาท ของพระองค์ที่มีลักษณะเป็นจักรอันประกอบด้วยซี่พันซี่ ขอจงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมทั้งสำลี ไม้จันทน์ ออกเป็นช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์ด้วยเถิด" เมื่ออธิษฐานเสร็จ พระยุคลบาทก็แหวกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ออกมา พระเถระจับยุคลบาทไว้มั่น และน้อมนมัสการเหนือเศียรเกล้าของตน มหาชนต่างเห็นความอัศจรรย์นั้น ก็ส่งเสียงแสดงความอัศจรรย์ใจ เมื่อพระเถระและภิกษุ ๕๐๐ รูป ถวายบังคมแล้ว ฝ่าพระยุคลบาทก็เข้าประดิษฐานในที่เดิม ครั้นแล้วเปลวเพลิงก็ลุกโพลงท่วมพระสรีระของพระศาสดา ด้วยอำนาจของเทวดา ในการเผาไหม้นี้ ไม่มีควันหรือเขม่าใดๆฟุ้งขึ้นเลย เมื่อเพลิงใกล้จะดับ ก็มีท่อน้ำไหลหลั่งลงมาจากอากาศ และมีน้ำพุ่งขึ้นจากกองไม้สาละ ดับไฟที่ยังเหลืออยู่นั้น"</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>ได้เรื่องครบกระบวนการครับขอนุญาตสรุปตามเข้าใจของผมว่า ภาพที่ทางศิลปิน<b>ท่านวาดเป็น ภาพพระมหากัสสปะเปิดผ้าทางพระบาทแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้า</b> ในงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระศพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ นอกจากนั้นผมยังได้ความรู้ว่าพระมหากัสสปะ ท่านสำคุญอย่างไร ตามนี้ครับ<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container zemanta-img zemanta-action-dragged" style="float: right; margin-right: 1em; text-align: right;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><div class="zemanta-img">
<div class="zemanta-img">
<div class="zemanta-img">
<div class="zemanta-img">
<a href="http://commons.wikipedia.org/wiki/File:Mahakashyapa.JPG" imageanchor="1" style="margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: clear:right;"><img alt="Mahākāśyapa" border="0" class="zemanta-img-inserted" height="318" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/69/Mahakashyapa.JPG/300px-Mahakashyapa.JPG" style="border: none; font-size: 0.8em;" width="300" /></a></div>
</div>
</div>
</div>
</td></tr>
<tr><td class="tr-caption zemanta-img-attribution" style="text-align: center; width: 300px;">Mahākāśyapa (Photo credit: <a href="http://commons.wikipedia.org/wiki/File:Mahakashyapa.JPG" target="_blank">Wikipedia</a>)</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b>การบวชด้วยการรับโอวาท </b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>วิธีบวชอย่างนี้เรียกว่า โอวาทปฏิคคณูปสัมปทา แปลว่า การบวชด้วยการรับโอวาท ลำดับนั้น พระศาสดาได้บวชให้ท่านด้วยทรงประทานโอวาท ๓ ข้อ คือ<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๑. ดูก่อนกัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความเกรงใจในภิกษุทั้งที่เป็น เถระ ปานกลาง และบวชใหม่<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๒. ธรรมใดเป็นกุศล เราจักเงี่ยโสตลงฟังธรรมนั้น พิจารณาเนื้อความนั้น (ของธรรมนั้น)<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๓. เราจักไม่ทิ้งกายคตาสติ คือพิจารณาร่างกาย เป็นอารมณ์ (อยู่เสมอ) <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ตั้งแต่นี้ไปเราจะทำอะไรให้ดีกว่านี้อีก จึงได้สมาทานธุดงค์ ๑๓ ข้อ ในสำนักพระศาสดา หลังจากบวชได้ ๘ วัน ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา<br />
<br />
<b> เอตทัคคะ </b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>พระมหากัสสปเถระ ได้รับการสรรเสริญจากพระศาสดาเป็นต้นว่า เปรียบเสมือนด้วยพระจันทร์ เข้าไปยังตระกูลทั้งหลายไม่คะนองกาย ไม่คะนองจิต เป็นผู้ใหม่อยู่เป็นนิตย์ ไม่เย่อหยิ่ง วันหนึ่ง เมื่อประทับนั่ง ในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้า ทรงตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่งภิกษุทั้งหลาย ผู้ทรงธุดงค์และกล่าวสอนธุดงค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย กัสสปะนี้ เป็นผู้เลิศแห่งภิกษุสาวกทั้งหลายของเรา ผู้ทรงธุดงค์และกล่าวสอนธุดงค์ <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>พระมหากัสสปเถระ เป็นพระสันโดษมักน้อย ถือธุดงค์เป็นวัตร ธุดงค์ ๓ ข้อ ที่ถืออยู่ตลอดชีวิต คือ ๑. ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ๒. เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๓. อยู่ป่าเป็นวัตร การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ของท่านจึงไปในทางเป็นแบบอย่างที่ดีของคนรุ่นหลังมากกว่าการแสดงธรรม ท่านได้แสดงคุณแห่งการถือธุดงค์ของท่านแก่พระศาสดา ๒ ประการคือ<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๑. เป็นการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๒. เพื่ออนุเคราะห์คนรุ่นหลัง จะได้ถือปฏิบัติตาม<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>พระศาสดาทรงประทานสาธุการแก่ท่าน แล้วตรัสว่า เธอได้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ตนแก่ชนเป็นอันมาก ทรงสรรเสริญท่านว่า เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายให้ถือเป็นแบบอย่าง ดังนี้<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๑. กัสสปะ เข้าไปสู่ตระกูล ชักกายและใจออกห่างประพฤติตนเป็นคนใหม่ ไม่คุ้นเคยอยู่เป็นนิตย์ ไม่คะนองกายวาจาใจ จิตไม่ข้องอยู่ในสกุลนั้น เพิกเฉย ตั้งจิตเป็นกลางว่า ผู้ใคร่ลาภจงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญ จงได้บุญ ตนได้ลาภมีใจฉันใด ผู้อื่นก็มีใจฉันนั้น<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๒. กัสสปะ มีจิตประกอบด้วยเมตตา แสดงธรรมแก่ผู้อื่น<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>๓. ทรงสั่งสอนภิกษุให้ประพฤติดีประพฤติชอบ โดยยกท่านพระมหากัสสปะเป็นตัวอย่าง<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container zemanta-img zemanta-action-dragged" style="float: right; margin-right: 1em; text-align: right;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><div class="zemanta-img">
<div class="zemanta-img">
<div class="zemanta-img">
<div class="zemanta-img">
<div class="zemanta-img">
<a href="http://commons.wikipedia.org/wiki/File:Head_of_Kashyapa%2C_wood%2C_Tang_Dynasty.JPG" imageanchor="1" style="margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: clear:right;"><img alt="A Chinese sculpted wooden head representing Ka..." border="0" class="zemanta-img-inserted" height="400" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/16/Head_of_Kashyapa%2C_wood%2C_Tang_Dynasty.JPG/300px-Head_of_Kashyapa%2C_wood%2C_Tang_Dynasty.JPG" style="border: none; font-size: 0.8em;" width="266" /></a></div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</td></tr>
<tr><td class="tr-caption zemanta-img-attribution" style="text-align: center; width: 300px;">A Chinese sculpted wooden head representing Kashyapa, a sage of India, dated from the Tang Dynasty (618–907) (Photo credit: <a href="http://commons.wikipedia.org/wiki/File:Head_of_Kashyapa%2C_wood%2C_Tang_Dynasty.JPG" target="_blank">Wikipedia</a>)</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b>ประธานทำสังคายนา</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>การทำสังคายนาพระธรรมวิทัยครั้งที่ 1 จึงได้จัดขึ้นที่ถ้ำสัตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์ ตามคำปรารภของพระมหากัสสปะเถระ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ โดยในครั้งนั้น พระมหากัสสปะเถระเป็นประธานทำสังคายนา พระอานนท์เป็นองค์วิสัชชนาแสดงพระธรรมวินัยในหมวด สุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก พระอุบาลี เป็นองค์วิสัชชนาพระวินัยปิฎก ซึ่งแนวการวางระเบียบพระธรรมวินัยในครั้งนั้นจัดเป็นรูปแบบที่เรียกว่า พระไตรปิฎก และยังคงมีการรักษาสิ่งที่ได้จัดรวบรวมในครั้งปฐมสังคายนาอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับเถรวาทโดยไม่มีการปรับแก้มาจนปัจจุบัน<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>ขอขอบคุณศิลปินนิรนามท่านนี้มากครับที่จุดประกายความคิดและปัญญาให้ผม...<b>ขอบคุณครับ</b><br />
<div class="zemanta-pixie" style="height: 15px; margin-top: 10px;">
<a class="zemanta-pixie-a" href="http://www.zemanta.com/?px" title="Enhanced by Zemanta"><img alt="Enhanced by Zemanta" class="zemanta-pixie-img" src="http://img.zemanta.com/zemified_g.png?x-id=40012c67-d3f8-4129-9775-f04bbe5956e9" style="border: none; float: right;" /></a></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-28012620587324591442013-08-31T19:02:00.001+07:002013-09-03T15:07:38.055+07:00Facebook Embeddable Posts: Vinayak-Vanich-02<h2>
Facebook Embeddable Posts: Vinayak-Vanich</h2>
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="font-size: large;">สวัสดีครับ</span> บทความนี้ผมขอออกนอกเนื้อหาของ blog นี้นะครับ จากเล็กๆน้อยๆว่าด้วยเรื่องไทยๆ เป็นแนว IT สักหน่อย อยากจะบอกว่าตอนเขียนบทความนี้ไปก็ทดสอบวิธีการใช้ code ของ Facebook นี้ไป ถ้าไม่ลองลง code ของ Facebook ลงในบทความแล้วเผยแพร่ ผมจะไม่ทราบเลยว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>Facebook Embeddable Posts เป็นลูกเล่นใหม่จาก Facebook หลังจากที่ได้ออกคุณสมบัติ hashtags ในตัว Facebook เอง โดยอนุญาตให้สามารถ สร้างลิ๊ง ไปยัง บทความ-รูปภาพ-วิดิโอ ที่ท่านผู้อ่านได้เผยแพร่ในบัญชี Facebook ของท่าน ลงใน Blog ที่ท่านเขียนหรือ Website ที่ท่านมี ทำให้เนื้อหาต่างๆที่ท่านผู้อ่านมีอยู่ต่างที่ต่างถิ่น มาอยู่รวมกันได้ และจะเป็นการเพิ่ม Traffic สำหรับหน้า Facebook ของท่านไปในตัว รวมทั้งถ้ามีผู้อื่นถูกใจเนื้อหาต่างๆที่ท่านผู้อ่านโพสต์ใน Facebook ของท่าน แล้วอยากบอกให้โลกรู้เขาก็สามารถเชื่อมโยงเนื้อหานั้นลงใน<Blog-Web>ของเขาเองได้ด้วย<br />
<br />
<span style="white-space: pre;"> </span><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ก็ไม่ยากนะครับ ถ้าท่านชอบเนื้อหาใดใน Facebook ของท่านหรือของคนอื่น แล้วอยากลงเนื้อหานั้นลงใน <Blog-Web> ก็ใช้วิธี ฝังโพสต์ (embed post) ครับ ตามขั้นตอนนี้เลย<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>1. คลิกที่ ลูกศร(สามเหลี่ยมลง) ของโพสต์ใน Facebook ที่ท่านเลือก<br />
<span style="white-space: pre;"> </span><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2.เลือกคำลั่งฝังโพสต์<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-sQC6IETa0C0/UiHVF8LEsyI/AAAAAAAABDc/rtVJ_J_iapo/s1600/VNK-FB-03.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="325" src="http://4.bp.blogspot.com/-sQC6IETa0C0/UiHVF8LEsyI/AAAAAAAABDc/rtVJ_J_iapo/s400/VNK-FB-03.JPG" title="Facebook Embeddable Posts vinayak-vanich" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<span style="white-space: pre;"> </span><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3.หลังจากเลือกคำลั่งฝังโพสต์ในข้อ 2 แล้วจะมีหน้าต่างใหม่ขึ้นมา ให้ท่านผู้อ่าน ไฮไลท์ code ที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว copy ก็เป็นอันหมดขั้นตอนใน Facebook แล้วครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-vFsi1DnsrI4/UiHVSNv0uMI/AAAAAAAABDk/Cu-qppGjocU/s1600/VNK-FB-04.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="350" src="http://3.bp.blogspot.com/-vFsi1DnsrI4/UiHVSNv0uMI/AAAAAAAABDk/Cu-qppGjocU/s400/VNK-FB-04.JPG" title="Facebook Embeddable Posts vinayak-vanich-02" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>หลังจากนั้นผมก็กลับมาที่ Blogger แล้วเลือกเขียน บทความใหม่ ตั้งชื่อเรื่องของบทความใหม่เสร็จ ก็วางโค๊ด (paste) ที่ได้จาก Facebook ลงในเนื้อความ (แบบเขียน html ) แล้วก็กดเผยแพร่บทความเลยครับ ผลที่ได้ก็ตามรูปด้านล่าง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-XTNRsBEF_cs/UiHVbje6SYI/AAAAAAAABDs/-g2Gp3-gM6k/s1600/VNK-FB-01.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="316" src="http://4.bp.blogspot.com/-XTNRsBEF_cs/UiHVbje6SYI/AAAAAAAABDs/-g2Gp3-gM6k/s400/VNK-FB-01.JPG" title="Facebook Embeddable Posts vinayak-vanich-03" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>จากนั้นผมลองวางโค๊ดลงใน Side bar แบบ html gadget ก็ใช้ได้ครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-tM0ezyuUiFA/UiHVmmhk55I/AAAAAAAABD8/GrSIdg08Q2o/s1600/VNK-FB-02.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="400" src="http://4.bp.blogspot.com/-tM0ezyuUiFA/UiHVmmhk55I/AAAAAAAABD8/GrSIdg08Q2o/s400/VNK-FB-02.JPG" title="Facebook Embeddable Posts vinayak-vanich-04" width="307" /></a></div>
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>ถ้ายังไงผิดพลาดประการใดลองอ่านเพิ่มเติมรายละเอียดที่ "ศูนย์ช่วยเหลือของ Facebook" นะครับ ตอบโจทย์ท่านผู้อ่านได้แน่ๆ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-1-3D6SlmaP0/UiHVsLjB0yI/AAAAAAAABEE/rHXJ9T8LOx4/s1600/VNK-FB-05.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="168" src="http://2.bp.blogspot.com/-1-3D6SlmaP0/UiHVsLjB0yI/AAAAAAAABEE/rHXJ9T8LOx4/s400/VNK-FB-05.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> <span style="white-space: pre;"> </span>แต่ผมพบข้อเสียอยู่อย่างแล้วครับว่าท่านผู้อ่านต้อง log on ใน Facebook อยู่นะครับ ถ้าไม่อย่างนั้นเนื้อหาที่ฝังโพสต์จะไม่แสดงผล<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-dyotsNIG5Dk/UiHayexWeJI/AAAAAAAABEQ/VrMkl4xxQwk/s1600/000.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="255" src="http://1.bp.blogspot.com/-dyotsNIG5Dk/UiHayexWeJI/AAAAAAAABEQ/VrMkl4xxQwk/s400/000.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>ถ้าท่าน log on แล้วเชิญเลยครับตามลิ๊งนี้<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://vinayak-vanich.blogspot.com/2013/08/facebook-embeddable-posts-vinayak-vanich.html" target="_blank">DEMO</a></div>
<br />
<br />
สวัสดี....<br />
<div>
<br /></div>
<div class="zemanta-related" style="clear: both; margin-top: 20px; overflow: hidden;">
<h4 class="zemanta-related-title">
Related articles</h4>
<ul class="zemanta-article-ul zemanta-article-ul-image" style="margin: 0; overflow: hidden; padding: 0;">
<li class="zemanta-article-ul-li-image zemanta-article-ul-li" style="background: none; display: block; float: left; font-size: 11px; list-style: none; margin: 2px 10px 10px 2px; padding: 0; text-align: left; vertical-align: top; width: 84px;"><a href="http://mashable.com/2013/07/31/facebook-embeddable-posts/" style="border-radius: 2px; box-shadow: 0px 0px 4px #999; display: block; padding: 2px; text-decoration: none;" target="_blank"><img src="http://i.zemanta.com/189794289_80_80.jpg" style="border: 0; display: block; margin: 0; max-width: 100%; padding: 0; width: 80px;" /></a><a href="http://mashable.com/2013/07/31/facebook-embeddable-posts/" style="display: block; height: 80px; line-height: 12pt; overflow: hidden; padding: 5px 2px 0 2px; text-decoration: none;" target="_blank">Facebook Introduces Embeddable Posts</a></li>
</ul>
</div>
<div class="zemanta-pixie" style="height: 15px; margin-top: 10px;">
<a class="zemanta-pixie-a" href="http://www.zemanta.com/?px" title="Enhanced by Zemanta"><img alt="Enhanced by Zemanta" class="zemanta-pixie-img" src="http://img.zemanta.com/zemified_h.png?x-id=b1f30465-564c-4faf-9e17-c2bf438ea6ce" style="border: none; float: right;" /></a></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-67974659506118224242013-08-31T14:09:00.001+07:002013-08-31T18:50:41.215+07:00Facebook Embeddable Posts: Vinayak-Vanich-01<div id="fb-root">
</div>
<script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs); }(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script>
<br />
<div class="fb-post" data-href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=264846476901770&set=a.117054898347596.33788.100001292597808&type=1">
<div class="fb-xfbml-parse-ignore">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div id="fb-root">
</div>
<script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs); }(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script>
<br />
<div class="fb-post" data-href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=264846476901770&set=a.117054898347596.33788.100001292597808&type=1">
<div class="fb-xfbml-parse-ignore">
<a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=264846476901770&set=a.117054898347596.33788.100001292597808&type=1">โพสต์</a> by <a href="https://www.facebook.com/dilokphat.vphibul">DilokPhat VPhibul</a>.</div>
</div>
<br />
<br />
<br /></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-75872475795867908002013-08-30T13:38:00.001+07:002013-09-12T15:54:54.761+07:00พระราหูบนหินแกรนิต-Rahu<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>สวัสดีครับ</b> บทความนี้ขอเริ่มต้นด้วยของดำเลยนะครับ จำได้ว่าภาพนี้ถ่ายต่อจากท่านชูชก(<a href="http://vinayak-vanich.blogspot.com/2013/08/blog-post.html" target="_blank">ชูชกในวัด</a>) เห็นว่างานลายสลักท่านราหูนี้ค่อนข้างคมชัดสวยงาม เป็นการสลักลงหินแกรนิตครับ แต่ให้มีคำถามว่า 1.ท่านราหูทำไม่มีแต่รูปปางนี้ 2.แล้วทำไมต้องอมพระจันทร์ด้วย 3.แล้วเกี่ยวอะไรกับกะลาตาเดียว เห็นกะลาตาเดียวทีไรต้องมีรูปท่านทุกที ก็พยายามหาข้อมูลเพื่อให้ตัวเองหายสงสัยพอที่จะปะติดปะต่อได้เรื่องราวประมาณนี้ อย่างแรก การกำเนิดของพระราหูมี2 ตำนานคือ<br />
<b><br /></b>
<b><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span></b><span style="white-space: pre;"> </span><b>"- พระราหูถูกสร้างขึ้นมาโดยพระอิศวร หรือพระศิวะจากหัวกะโหลก 12 หัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง แล้วประพรมด้วยน้ำอัมฤตเสกได้เป็นพระราหู มีสีวรกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงสุบรรณ (ครุฑ) เป็นพาหนะ มีวิมานสีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) </b><br />
<span style="white-space: pre;"> </span><b><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- พระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติและนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกายเป็นยักษ์และมีหางเป็นนาค"</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>นี่แสดงว่าองค์ท่านเต็มตัวท่านไม่มีขานะครับเพราะตามตำนานที่ 2 ท่านมีหางเป็นนาค(งู) ส่วนสาเหตุที่ท่านพระราหูมีกายเพียงครึ่งท่อนก็เกิดเหตุคราวที่ <b> "เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธี พระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆ เมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอัมฤตที่เกิดขึ้นนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์หรือพระวิษณุ พระนารายณ์ทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยว่าน้ำอำมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ"</b> ก็ได้ความหละครับหายสงสัยไป 1 อย่าง ท่านถูกจักรพระนารายณ์ตัดนั่นเองแต่ยังไม่ตายครับ ส่วนครึ่งล่างที่ถูกตัดขาดนั้นได้กลายมาเป็นดาวพระเคราะห์ดวงที่ 9 แห่งเหล่าเทวนพเคราะห์ซึ่งก็คือ พระเกตุ<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-pQP_ITq4Iic/UiA423d0unI/AAAAAAAABDA/fw5qvm2qwKE/s1600/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="544" src="http://2.bp.blogspot.com/-pQP_ITq4Iic/UiA423d0unI/AAAAAAAABDA/fw5qvm2qwKE/s640/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B9.jpg" title="vinayak-vanich, พระราหู" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>ส่วนความสงสัยเรื่องทำไมท่านต้องอมพระจันทร์ด้วย ก็ได้ความตามนี้ครับ <b>"จากนั้นเมื่อครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ พระราหูก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้นที่เทวดาทั้งสององค์นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์ แต่อมไว้ในปากได้ไม่นานก็ต้องคายออกมาเพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้ เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตามคติความเชื่อของคนโบราณ" </b>ได้เรื่องแล้วครับ ภาพที่เห็นคือ ท่านราหู(ครึ่งบน)กำลังอมพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ ด้วยความโกรธนั่นเอง และเรื่องความเกี่ยวข้องกับกะลาตาเดียว แล้วท่านกำลังอมใคร พระจันทร์หรือพระอาทิตย์ ตามกันมาต่อนะครับ ผมค้นได้ข้อมูลตำนานที่ว่า <b>" ในอดีตชาติ พระราหูได้เกิดมาเป็นน้องร่วมท้องเดียวกันกับเทวดานพเคราะห์อีกสององค์ คือ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ โดยพระราหูเกิดเป็นน้องสุดท้อง ครั้งหนึ่ง พระราหูได้ร่วมทำบุญถวายพระที่มารับบิณฑบาตร่วมกับพี่ทั้งสองคน พระอาทิตย์ตักบาตรในครั้งนั้นด้วยภาชนะทอง พระจันทร์ตักบาตรด้วยภาชนะเงิน ส่วนพระราหูตักบาตรด้วยภาชนะที่ทำมาจากกะลามะพร้าว เมื่อทั้ง3พี่น้องได้มาเกิดเป็นเทวดานพเคราะห์ พระอาทิตย์จึงมีรัศมีและวรรณะเปล่งปลั่งดุจทองคำ พระจันทร์มีรัศมีและวรรณะเป็นสีขาวสว่างดุจเงิน และพระราหูมีรัศมีและวรรณะเป็นสีนิลออกไปทางทองแดง" </b>อย่างน้อยเริ่มเกิดความเกียวข้องระหว่างท่านราหู-กะลา-และสีผิวของท่าน แต่ทำไมต้องเป็นกะลาตาเดียว<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-f1rW0JFPybA/UjGAsou2lMI/AAAAAAAABFo/k3GvtobSmjk/s1600/BritishmuseumRahu.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="400" src="http://1.bp.blogspot.com/-f1rW0JFPybA/UjGAsou2lMI/AAAAAAAABFo/k3GvtobSmjk/s400/BritishmuseumRahu.JPG" width="285" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="background-color: #f9f9f9; font-family: sans-serif; font-size: 12px; line-height: 19.1875px; text-align: start;">Photo of Rahu taken at the British Museum</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>ตามความเห็นส่วนตัวของผม อาจเกิดการรวมความเชื่อของ กะลาตาเดียวที่ว่า <b>"กะลาตาเดียวใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ติดประจำกายไว้กับตัว เพราะกะลาตาเดียวเป็นอาถรรพ์มีดีอยู่ในตัว ใช้สำหรับเป็นสิ่งป้องกันเสนียดจัญไรหากว่ามีการนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคมก็จะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์มากยิ่งขึ้น" และอีกหนึ่งความเชื่อที่ว่า "การไหว้พระราหูโดยความเชื่อมักจะทำให้เกิดโชคลาภ และความสำเร็จ ซึ่งมีโอกาสร่ำรวยด้วยการบูชาพระราหู"</b> ดังที่จะเห็นในปัจจุบันหละครับที่กะลาตาเดียวกลายเป็นวัตถุมงคลและมีการสลักผิวกะลาเป็นรูปท่านราหู(ส่วนท่านผู้อ่านที่ต้องการให้ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาฝากไว้ที่ comment ใต้บทความนะครับ)<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-w55OfR5KMUY/UiA5GWyBdEI/AAAAAAAABDI/zf1x_FsfMqk/s1600/DSCN0913.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-w55OfR5KMUY/UiA5GWyBdEI/AAAAAAAABDI/zf1x_FsfMqk/s1600/DSCN0913.jpg" title="กะลาตาเดียว จาก Arts-108 by Sak Srithamma" /></a></div>
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>แล้วท่านราหูกำลังกลืนกินใคร ผมเดาไม่ออกจริงๆครับ อาจจะต้องสังเกตุท่านพระราหูจากหลายๆที่ หลายๆวัดว่า วงกลมๆ ที่อยู่ในปากท่านมีลักษณะที่ต่างกันบ้างรึเปล่า พอให้จินตนาการว่าเป็นพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ แต่ก็พอได้ข้อมูลจากการแกะสลักกะลาตาเดียวเป็นรูปราหูจากอดีตถึงปัจจุบัน ว่า<i> </i><b>"มีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบคือ แกะเป็นรูปราหูอมจันทร์ และแกะเป็นรูปราหูอมพระอาทิตย์ รวมทั้งการลงอักขระจะไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นราหูอมจันทร์ ลงคาถาด้วย คาถาจันทรประภา ถ้าแกะเป็นราหูอมพระอาทิตย์ <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ลงคาถาด้วย คาถาสุริยประภา ซึ่งมีความเชื่อว่าคาถายันต์จันทรประภาและสุริยประภา หรือ สุริยัน-จันทรา เป็นยันต์คาถาที่ให้คุณทางด้านโชคลาภ"</b> ผมก็คงต้องเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อนเพราะอ่านอักขระที่เขียนไว้ในรูปไม่ออกจริงๆว่า ท่านเป็นใคร พระจันทร์หรือพระอาทิตย์<br />
<br />
โถ ท่านพระราหูบนหินแกรนิตกับความสงสัยของผมนิดเดียว แต่เรื่องยาวครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-21501177592105412692013-08-15T14:14:00.001+07:002013-08-15T14:27:16.486+07:00Life in Pic <span style="font-size: large;">วิถีชุมชน</span>-ผู้คนต่างๆ-ชีวิตประวัน เมื่อลองนำ 3 สิ่งนี้มาผสมกัน ถ้าเป็นสมัยก่อน เราอาจจะได้ กลอนไพเราะสักบท นิทานพื้นบ้านประจำถิ่นสักเรื่อง เพลง-ปรัมปรา-ที่พูดถึง ผู้คนเก่าๆ ให้เราพอได้รู้เรื่องของพวกเขาเหล่านั้นตามแต่จินตนาการของเรา แต่ในยุคนี้ ผมสามารถจินตนาการถึงผู้คนเหล่านั้นผ่าน สายตาของเราเอง ด้วยการดูภาพถ่าย ที่สามารถบอกเรื่องราวต่าง ในชุมชนนั้น ในชีวิตประจำวันวันนั้น หรือในวินาทีนั้นได้ การถ่ายภาพแนว street photography ถือเป็น การถ่ายภาพแนวนึงที่นิยมกันมากในสมัยนี้ ....<br />
<br />
ในบทความนี้ ขออนุญาตพาท่านท่องท้องถนนในย่านเอเซีย เริ่มจากเพจแรกที่ผมชอบแวะไปคือ <b>Kyoto Street Photography </b>(Walking and taking photo along streets in Kyoto, Let's share somethings you have seen in Kyoto!) หลังจากได้ดูรูปต่างๆที่ถ่ายทอดวิธีชีวิตใน เกียวโตแล้ว บอกตรงๆว่าอยากไปเที่ยวที่นั่นบ้างครับ สมกับสโลแกน เดินท่องไปถ่ายรูปไปตามท้องถนนในเกียวโต, แล้วเรามาแบ่งปันสิ่งที่คุณเห็นในเกียวโต กันเถอะ ขอบคุณนะครับ ที่นำรูปสวยๆในต่างแดนมาให้เราชมกัน <span style="text-align: center;"> </span><br />
<span style="text-align: center;"><br /></span>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-v6u1f8z9NWQ/Ugx5e-Ae-xI/AAAAAAAABBc/Jo6Jk0DWAV0/s1600/VNK-POST-01.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="290" src="http://1.bp.blogspot.com/-v6u1f8z9NWQ/Ugx5e-Ae-xI/AAAAAAAABBc/Jo6Jk0DWAV0/s400/VNK-POST-01.JPG" style="text-align: center;" width="400" /></a></div>
<span style="text-align: center;"><br /></span>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-f2Zb-wm-TuE/Ugx5hsvf21I/AAAAAAAABBk/ToD2Tv8Ff5U/s1600/VNK-POST-02.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="283" src="http://1.bp.blogspot.com/-f2Zb-wm-TuE/Ugx5hsvf21I/AAAAAAAABBk/ToD2Tv8Ff5U/s400/VNK-POST-02.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
จากเกียวโตก็กลับมาที่ กรุงเทพ ประเทศไทยกันหน่อยเป็นของ <b>หลังหกโมงเย็น สตรีทโฟโตกราฟฟี</b> เพจนี้ เขาทำให้ภาพความจำเกี่ยวกับท้องถนนในกรุงเทพของผมบิดเบี้ยวไปครับ ทำให้ผมรู้สึกว่า กรุงเทพมันสวยขึ้น ผู้คนที่เดินผ่านกันตามท้องถนนอย่างเฉยเมย ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ดูมีความหวังขึ้น ครับอีกมุมมองนึงของเมืองนี้ที่ผ่านกล้องของ <<< หลังหกโมงเย็น สตรีทโฟโตกราฟฟี>>> ที่อาจทำให้คุณรักเมืองนี้มากขึ้น<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-CXE5fZpw5_g/Ugx7jTjWaBI/AAAAAAAABB0/O0tEh1GIOUo/s1600/VNK-POST-03.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="328" src="http://3.bp.blogspot.com/-CXE5fZpw5_g/Ugx7jTjWaBI/AAAAAAAABB0/O0tEh1GIOUo/s400/VNK-POST-03.JPG" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-Y0xwBJ8SdEc/Ugx7jqysRyI/AAAAAAAABB4/U7dT38fhJmU/s1600/VNK-POST-04.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="308" src="http://2.bp.blogspot.com/-Y0xwBJ8SdEc/Ugx7jqysRyI/AAAAAAAABB4/U7dT38fhJmU/s400/VNK-POST-04.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
และแนะนำกันอีกที่ครับคือ <b>streetphotothailand</b> การรวมตัวกันของช่างภาพชั้นครู และช่างภาพรุ่นใหม่ ที่มีความสดใหม่ เน้นความเฉียบคมของแนวคิดและความกล้าที่จะสร้างงานที่แตกต่างออกไป ลองแวะไปชมงานของพวกเขากันนะครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-Ejt6DipKFLU/Ugx9AsJQZRI/AAAAAAAABCQ/WV7CNB4afjY/s1600/streetphoto.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="298" src="http://2.bp.blogspot.com/-Ejt6DipKFLU/Ugx9AsJQZRI/AAAAAAAABCQ/WV7CNB4afjY/s400/streetphoto.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
จากถนนที่เต็มไปด้วยแสงสีขอนำท่านสู่ถนนดินสีแดงที่เต็มไปด้วยฝุ่นและวัว เป็นเพจของ <b>kr sunil photography</b> (Native of Kodungallur, Kerala. National Diploma in Sculpture from College of Fine arts, Thrissur) ชาวเมือง Kodungallur Kerala อินเดีย เพจนี้ผมชอบมากครับ เขาทำให้ผมเห็นว่า ไม่ว่าคนจะมากมายแค่ไหน ชีวิตจะลำบากอย่างไร แต่ในนั้นมีความเป็นมนุษย์ที่สู้ชีวิตและต้องอยู่ร่วมกัน(ให้ได้) ลองดูแววตาของผู้คนที่อยู่ในภาพของเพจนี้ซิครับ ทำให้ผมลืมปัญหาของผมไปได้ชั่วขณะจริงๆ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-xB6_hLEcFWs/Ugx8UMiYs9I/AAAAAAAABCM/xOrccblzPQk/s1600/VNK-POST-05.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="313" src="http://2.bp.blogspot.com/-xB6_hLEcFWs/Ugx8UMiYs9I/AAAAAAAABCM/xOrccblzPQk/s400/VNK-POST-05.JPG" width="400" /></a></div>
<span style="text-align: center;"> </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-ncKw80l-Rzw/Ugx8T58dTAI/AAAAAAAABCA/K4A08AD23zM/s1600/VNK-POST-06.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="262" src="http://1.bp.blogspot.com/-ncKw80l-Rzw/Ugx8T58dTAI/AAAAAAAABCA/K4A08AD23zM/s400/VNK-POST-06.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
ส่วนอีกคนนึงที่ส่วนตัวผมตามงานของเขาเสมอๆ คือ <b>Eric Lafforgue </b>His work has been published in:<br />
Time Magazine, National Geographic, New York Times, CNN Traveller, Discovery Channel magazine, BBC, Sunday times,Lonely Planet, Morning Calm Korea, GEO (16 countries) ช่างภาพชาวฝรั่งเศสที่ตระเวนถ่ายรูปไปทั่วโลก ลงหนังสือนิตยสารต่างๆมากมาย แถมมีแอพพลิเคชั่น ให้โหลดดูงานภาพของเขาอีกต่างหาก ช่างภาพคนนี้ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงนะครับ บางที่ท่านอาจได้ชมงานของเขาไปแล้วโดยที่ท่านไม่รู้ตัว<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-wd9eVUXLoLw/Ugx9rYRxtCI/AAAAAAAABCc/68fU2cuGdLI/s1600/VNK-POST-07.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="321" src="http://2.bp.blogspot.com/-wd9eVUXLoLw/Ugx9rYRxtCI/AAAAAAAABCc/68fU2cuGdLI/s400/VNK-POST-07.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-iYoWOhm7mcE/Ugx9rCVecWI/AAAAAAAABCY/lUPL4KUkYOg/s1600/VNK-POST-08.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://1.bp.blogspot.com/-iYoWOhm7mcE/Ugx9rCVecWI/AAAAAAAABCY/lUPL4KUkYOg/s400/VNK-POST-08.JPG" width="382" /></a></div>
<br />
<br />
การเสพภาพ นี้ผมถือเป็นความสุขอย่างนึงส่วนตัวของผมครับ บางครั้งเวลาที่ผมเกิดอาการ low batt ก็แวะเข้าไปดูภาพของพวกเขาสักพัก ก็รู้สึกดีขึ้น ถือเป็นการพักผ่อนอารมณ์ที่ดีทีเดียว ส่วนเพจอื่นที่มีภาพสวยๆผมขออนุญาตนำมาลงทีหลังนะครับ ท้ายนี้ผมขอจบบทความนี้ด้วยประโยคของ หลังหกโมงเย็น สตรีทโฟโตกราฟฟี ครับ เขาเขียนไว้ดีมาก ว่า<b> "ผมไม่ได้ถ่ายภาพเพื่อเงินหรือสิ่งตอบแทนใดๆ สิ่งที่ผมอยากได้คือได้ส่ง ต่อมุมมองและช่วงเวลาดีๆที่ผมได้พบเจอ ทุกๆที่ในชีวิตประจำวันของผมเท่านั้นเองครับ" ...</b>สวัสดี...<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-30834790522409561602013-08-01T20:56:00.000+07:002013-08-15T20:41:59.612+07:00ชูชกในวัด<h2>
ชูชกในวัด</h2>
<b><span style="font-size: large;">เมื่อ</span></b> ปีก่อน ผมได้ไปทำธุระที่วัดแถวสมุทรสาคร ได้บังเอิญเดินผ่านแผ่นป้ายที่ผมอ่านแล้วรู้สึกกล้วอย่างยิ่ง อย่างแรก คือกลัวตัวเองเป็นอย่างชูชก ส่วนอีกอย่างก็คือ กลัวคนที่ทำชูชกขาย มาทำลายป้ายนี้ อย่างน้อยที่ผมรู้สึกดีก็คือ พระในวัดนี้ท่านได้ทำหน้าที่ของท่าน ที่จะให้ความสว่างแก่ชาวพุทธตามกาละที่เหมาะสม เป็นอย่างดี ตรงและแรงครับ เห็นป้ายแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็ขออนุญาตถ่ายทอดข้อความตามแผ่นป้าย ท่านว่าดังนี้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-n_5RQM7A564/Ufpms5eskiI/AAAAAAAAA98/CbIMAHkLseg/s1600/VNK-CC-post-01.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" height="400" src="http://3.bp.blogspot.com/-n_5RQM7A564/Ufpms5eskiI/AAAAAAAAA98/CbIMAHkLseg/s400/VNK-CC-post-01.JPG" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="288" /></a></div>
<br />
<br />
"ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทั้งหลาย จะตั้งสตินึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มาก ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราจะวิปริตยิ่งขึ้น เดี๋ยวนี้ที่หิ้งบูชา หรือที่สายห้อยคอของชาวพุทธ เริ่มมีสิ่งอัปมงคลเข้ามา โดยที่พวกเราสำคัญผิดว่าเป็นสิ่งดี นั่นคือตัวชูชก ชูชกตัวนี้เป็นตัวลวงโลก เกิดมามีบุรุษโทษ คือลักษณะอันชั่วร้าย 18 ประการ ซึ่ง 18 ประการนี้ เพียงอย่างหนึ่งอย่างใด เราก็รับไม่ได้แล้ว แต่ยังมีผู้หลงผิดนำสายสร้อยห้อยคอ หรือนำขึ้นหิ้งบูชา<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-Z4Sbf2oLC_E/Ufpm_NTDSxI/AAAAAAAAA-E/QNDdAkDw5is/s1600/VNK-CC-post-02.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" height="275" src="http://2.bp.blogspot.com/-Z4Sbf2oLC_E/Ufpm_NTDSxI/AAAAAAAAA-E/QNDdAkDw5is/s400/VNK-CC-post-02.JPG" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
นอกจากนั้นทั้งชีวิตของชูชก ท่านมาลองคิดดูว่ามีสิ่งใดที่นับว่าเป็นคุณธรรมบ้าง เห็นแก่ตัว โหดร้าย ปลิ้นปล้อน ชูชกเมือเวลาตาย กินจนท้องแตก ใครที่บูชาชูชก มีอันต้องฉิบหายตายโหง<br />
ชูชกตายแล้วเกิดเป็นเถรเทวทัต ยุยงให้นางจิญจายมาณวิภา กล่าวโทษพระพุทธเจ้าว่าทำให้นางท้อง ต่อมาเทวดาแปลงเป็นหนูกัดสายรัดท้องทำให้คนรู้ว่า นางจิญจายมาณวิภาหลอกลวงให้ร้าย ธรณีสูบนางจิญจายมาณวิภา<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-gFc73HD45eY/UfpnGzrZAcI/AAAAAAAAA-Q/zPojdXROqIw/s1600/VNK-CC-post-03.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="275" src="http://4.bp.blogspot.com/-gFc73HD45eY/UfpnGzrZAcI/AAAAAAAAA-Q/zPojdXROqIw/s400/VNK-CC-post-03.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
เทวทัตยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรู ทำปิตุฆาต คือ ฆ่าพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นพระราชบิดาตาย ใครบูชาชูชก จะมีลูกหลาน อกตัญญูทำร้ายพ่อแม่<br />
เทวทัต ทำสังฆเภท คือยุยงให้สงฆ์แตกกัน ใครบูชาชูชก ครอบครัวจะแตกแยกไม่เป็นสุข<br />
เทวทัต ถูกธรณีสูบ ลงนรกชั้นโลหะกุมภี ใครบูชาชูชก จะตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด<br />
ท่านทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วที่พวกเราชาวพุทธ จะได้ตั้งสติ น้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และคำสอนของ พระพุทธองค์ ที่สรุปโดยย่อว่า<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"><br /></span>
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="font-size: large;">สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>กุสะลัสสูปะสัมปะทา</span><br />
<span style="font-size: large;"><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>สะจิตติปริโยหะปะนัง<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เอตัง พุทธานะสาสะนัง</span><br />
<span style="font-size: large;"><br /></span>
<span style="font-size: large;"><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>การงดบาป เว้นบาปทั้งปวง<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>บำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม</span><br />
<span style="font-size: large;"><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><span style="white-space: pre;"> </span>ทำจิตให้ผ่องแผ้ว<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า</span><br />
<br />
ขอความสวัสดีมงคล จงมีแก่ทุกท่าน"Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-7375332969287950852012-02-01T12:04:00.000+07:002013-08-15T20:42:33.976+07:00ย่านท่าหลวง-ตลาดล่าง จันทบุรี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-Mc0LXQ0kn54/TyjCpPC3taI/AAAAAAAAArE/8y5ma5T35VI/s1600/CHAN-08.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-Mc0LXQ0kn54/TyjCpPC3taI/AAAAAAAAArE/8y5ma5T35VI/s1600/CHAN-08.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" /></a></div>
<br />
<br />
ย่านท่าหลวง เป็นชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำจันทบุรีด้านตะวันตก แต่เดิมรู้จักกันในชื่อที่เรียกกันติดปากว่า "บ้านลุ่ม" ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวจีนและญวนอพยพตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาได้พัฒนามาเป็น ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของจันทบุรีที่สำคัญแห่ง หนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 มีจุดเริ่มต้นจากเชิงสะพาน วัดจันทร์ ผ่านบ้านท่าหลวงยาวเป็นแนวไปตลอดจนถึงชุมชนตลาดล่าง บริเวณที่เรียกว่าท่าเรือจ้าง อาคารส่วน ใหญ่เป็นที่พักอาศัยและร้านค้าของชุมชนที่มีอายุเกือบร้อยปี ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-poU-kZl2wzc/TyjC7s_vnsI/AAAAAAAAArM/lFftU_To8pA/s1600/CHAN-09.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="480" src="http://1.bp.blogspot.com/-poU-kZl2wzc/TyjC7s_vnsI/AAAAAAAAArM/lFftU_To8pA/s640/CHAN-09.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-VbVcYWRFT2A/TyjEVws1JyI/AAAAAAAAArU/90Vz-imIdr8/s1600/CHAN-12.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="579" src="http://1.bp.blogspot.com/-VbVcYWRFT2A/TyjEVws1JyI/AAAAAAAAArU/90Vz-imIdr8/s640/CHAN-12.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
ย่านท่าหลวง-ตลาดล่าง มีความสำคัญต่อบทบาทการค้ากับต่างประเทศของจันทบุรีในยุคนั้น คือ เป็นจุด ที่เรือบรรทุกสินค้าของป่าที่รวบรวมมาได้จากป่าแถบตะเคียนทอง น้ำขุ่น คลองพลู วังแซ้มในบริเวณเขาคิชฌกูฎ และ เขาสอยดาว จะล่องลงมาตามลำน้ำจันทบุรี และมาเทียบท่าที่ตลาดท่าหลวง โดยมีกล่มชาวชองซึ่งเป็นชน พื้นเมือง เดิมที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาในจันทบุรี ระยอง และตราด เป็นแรงงานในการจัดเก็บของป่านำมาจำหน่าย ในตัวเมืองจันทบุรี ในปีหนึ่งชาวชองจะล่องแพนำสินค้ามาจำหน่ายในเมืองเพียงครั้งเดียว คือในระหว่างเดือน 10 ถึง 12 (เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน) เนื่องจากเป็นฤดูน้ำหลาก สามารถล่องแพลงมาตามลำน้ำได้สะดวก ส่วนใน ฤดูแล้ง ระหว่างเดือน 3 ถึง 5 (เดือนกุมพาพันธ์ถึงเดือนเมษายน) ต้องลำเลียงทางเกวียนซึ่งลำบากและใช้เวลานาน จึงไม่เป็นที่นิยม ในช่วงที่กองทหารฝรั่งเศสเข้ามายึดครองจันทบุรี (พ.ศ. 2436-2447) การค้าขายในย่านนี้เป็นไปอย่าง คึกคัก นอกจากสินค้าป่าแล้วยังมีการลักลอบจำหน่ายสินค้าประเภทสุรา ฝิ่น กาแฟ ชา การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ของ ย่านท่าหลวง-ตลาดล่าง ส่งผลให้ทางรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบ สาธารณูปโภคต่างๆในบริเวณนี้ ก่อนบริเวณอื่น<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-IYOd3ePOcxM/TyjE4i6h9wI/AAAAAAAAArc/C9a_pxZLh9A/s1600/CHAN-05.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-IYOd3ePOcxM/TyjE4i6h9wI/AAAAAAAAArc/C9a_pxZLh9A/s1600/CHAN-05.jpg" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-CTc0HhH-Sfw/TyjF8_70AmI/AAAAAAAAArs/oHah9BAPAXQ/s1600/CHAN-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-CTc0HhH-Sfw/TyjF8_70AmI/AAAAAAAAArs/oHah9BAPAXQ/s1600/CHAN-01.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" /></a></div>
<br />
<br />
ได้มีการประกาศให้พระราชบัญญัติสุขาภิบาลที่ตำบลตลาดเมืองจันทบุรีเป็นแห่งแรกในเขตจันทบุรี ในปี พ.ศ. 2451 นอกจากนี้ในช่วงที่มีการค้าขยายตัว มีจำนวนประชากรอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานชั่วคราวในย่านนี้ถึงปีละ 100 คนเศษ มี พ่อค้าต่างถิ่น อาทิ แขก กุหล่า พม่า เข้ามาตั้งร้านค้าชั่วคราว รวมทั้งมีพ่อค้าเร่จากบ่อพลอยไพลิน บ่อนาวงที่มาซื้อขาย สินค้าต่างๆ และนำพลอยมาขายปีละนับพันคน เมื่อศูนย์กลางการค้าภายในเมืองจันทบุรีย้ายไปอยู่ที่ ตลาดน้ำพุ บริเวณถนนศรีจันท์และตรอกกระจ่าง ซึ่งนับเป็นถนนเศรษฐกิจของจังหวัด ผู้ประกอบธุรกิจด้านอัญมณีจะมาซื้อขายพลอยและอัญมณีต่าง ๆ เป็นประจำทุกวันเพราะเป็นที่ตั้งของร้านเจียระไนพลอยและร้านค้าอัญมณี ซึ่งอาจนับได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นตลาดค้าพลอยเจียระไนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ สามารถเห็นบรรยากาศการซื้อขายพลอย ของบรรดานายหน้าและพ่อค้าพลอย ซึ่งเป็นแหล่งค้าพลอยที่ใหญ่ที่สุดในจันทบุรี มีร้านซื้อขายพลอยดิบและพลอยเจียระไน ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลอยเต็มสองฟากถนน จนขนานนามกันว่าเป็นถนนสายพลอย หรือ ถนนอัญมณี ซึ่งมีพลอยหลายชนิดให้เลือกซื้อเลือกชมกัน ตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยไปจนถึงราคาเรือนแสน การซื้อขายพลอยคึกคักที่สุดในช่วงวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ มีทั้งร้านเปิดโล่งและร้านติดแอร์ ตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่ง ถ. ศรีจันทร์ พ่อค้าจากต่างเมืองจะมานั่งประจำโต๊ะรับซื้อพลอยและมีพ่อค้าพลอยจากต่างประเทศเช่นจากศรีลังกา จากแอฟริกา นำพลอยมาค้าขายและ มาซื้อหาพลอยกลับไปด้วย แต่ละโต๊ะมีอุปกรณ์สำคัญในการดูพลอย ทั้งคีมคีบ แว่นขยาย เครื่องคิดเลข และตาชั่งสำหรับชั่งน้ำหนักพลอยเป็นกะรัต พร้อมสรรพ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-u_j0130iigA/TyjGfTpIf9I/AAAAAAAAAr0/wwzvRyFhFc4/s1600/CHAN-04.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="398" src="http://3.bp.blogspot.com/-u_j0130iigA/TyjGfTpIf9I/AAAAAAAAAr0/wwzvRyFhFc4/s640/CHAN-04.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
แม้ปัจจุบันบรรยากาศการซื้อขายพลอยบน ถ. ศรีจันทร์ ไม่รุ่งเรืองและคึกคักเช่นในอดีต แต่ก็เป็นตลาดพลอยแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ นักท่องเที่ยวสามารถชมการเจียระไนพลอย การโกลนพลอยได้ด้วย ที่เดินทางมาจากที่ต่าง ๆ กันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีการค้าขายพลอยดิบอีกด้วย โดยจะเปิดตลาดในช่วงเช้าเวลา 08.00 น. จนถึงประมาณ 15.00 น. มีนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายพลอยมาชุมนุมต่อรองราคากันอย่างคึกคัก นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองจันทบุรีซึ่งไม่อาจพบได้ในจังหวัดอื่น<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-FJnDC9P60K4/TyjG53ce9aI/AAAAAAAAAr8/X_r7nbmrs3U/s1600/CHAN-07.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="480" src="http://1.bp.blogspot.com/-FJnDC9P60K4/TyjG53ce9aI/AAAAAAAAAr8/X_r7nbmrs3U/s640/CHAN-07.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
ลักษณะ ของย่านท่าหลวง-ตลาดล่างมีลักษณะเป็นตึกแถวโบราณมีลวดลายไม้จำหลักอ่อนช้อยงดงาม อยู่ตามบานประตูหน้าต่างและมุมอาคารซึ่งจะพบรูปแบบเรือนขนมปังขิงปะปนอยู่ ด้วย เพราะชาวจันทบุรีได้รับอิทธิพลจากการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศเมื่อสมัย ร. 5 ย่านท่าหลวงยังปรากฏให้เห็นวัฒนธรรมการตั้งบ้านเรือนหรือ ร้านค้าที่หันหลังให้แม่น้ำ หันหน้าเข้าสู่ถนน บ้านเรือนเป็นเรือนติดดิน นิยมสร้างเป็นเรือนหลังใหญ่ทรงจั่ว ใช้วัสดุในท้องถิ่นก่อสร้าง อาทิ ไม้แฝก ใบจาก นิยมยื่นชายคากออกมาเพื่อเป็นร้านค้าติดระเบียงทางเดินด้านหน้า ตามลักษณะที่พักอาศัยกึ่งพาณิชย์อันเป็นลักษณะวัฒนธรรมการค้าขายของชาวจีน อาคารพักอาศัยและร้านค้าย่านท่าหลวงเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์อย่างมาก ควรจะมีการอนุรักษ์เอาไว้เพื่อการท่องเที่ยว<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-YW2E7GdGBzU/TyjHV1R3ScI/AAAAAAAAAsE/3-bGxIBE36U/s1600/CHAN-03.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-YW2E7GdGBzU/TyjHV1R3ScI/AAAAAAAAAsE/3-bGxIBE36U/s1600/CHAN-03.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
การเดินทางไปชุมชนเก่าริมน้ำย่านท่าหลวง-ตลาดล่าง<br />
- รถยนต์ส่วนตัว มื่อเดินทางมาถึงจังหวัดจันทบุรี ผ่านศาลหลักเมืองบริเวณหน้าค่ายตากสินแล้ว ขับรถผ่านหน้าสถานีตำรวจภูธร จังหวัดจันทบุรี ถึงเชิงสะพานวัดจันทร์ หาที่จอดรถ ชุมชนย่านท่าหลวงจะอยู่ทางด้านขวามือ<br />
-โดยรถสาธารณะ รถตู้ไปจันทบุรี ขึ้นรถที่เซ็นจูรี่ให้บริการทุกวัน เริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า - 1 ทุ่ม ราคาเที่ยวละ 200 บาท โดยรถตู้จะจอด ที่ห้างโรบินสัน จากนั้นนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างบอกว่าไปลวสะพานวัดจันทร์ ค่าโดยสาร 25 บาท<br />
- รถโดยสารปรับอากาศ บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) และหมอชิต ทุกวัน ตั้งแต่ 04.00 - 24.00 น. ออกทุกชั่วโมง<br />
<br />
<span style="font-size: large;"><a href="https://picasaweb.google.com/vinayak.vanich/Chanthaburi?authuser=0&feat=directlink" target="_blank">more pictures</a></span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-35249042887608195812012-01-15T09:10:00.000+07:002013-08-16T18:08:40.568+07:00ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ<span style="font-size: large;">ประวัติศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ</span><br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชการที่ 1 โปรดเกล้า ฯให้ตั้งการพระราชพิธียกเสาหลักเมือง ตามโบราณราชประเพณีเพื่อเป็นนิมิตรหมายหลักชัยสำคัญประจำพระมหานครราชธานี ณ วันอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปี ขาล จุลศักราช 1144 ตรงกับสุรทิน ที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 นาฬิกา และต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อเสด็จขึ้นครองราช ทรงตรวจดวงพระชาตาของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ ณ ราศีกันย์ เป็นอริแก่ลัคณาดวงเมืองกรุงเทพมหานคร เห็นได้ชัดว่าดวงพระชาตาไม่กินกับดวงเมือง พระองค์จึงทรงแก้เคล็ดดวงเมือง โดยโปรดให้ขุดพระหลักเมืององค์เดิม ในการนี้พระองค์ได้โปรดให้ช่างแปลงรูปศาลเสียใหม่จากรูปศาลาเป็นรูปปรางค์ และทรงบรรจุดวงเมืองเดิมลงบนเสาพระหลักเมืองใหม่ ณ วันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือนอ้าย จุลศักราช 1214 ตรงกับสุรทิน ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2395 เวลา 08.48 นาฬิกา <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-2yep9XCLgzo/TxI03xxL6nI/AAAAAAAAAqo/GfdZW6h_naU/s1600/%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-vinayak-vanich.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich" border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-2yep9XCLgzo/TxI03xxL6nI/AAAAAAAAAqo/GfdZW6h_naU/s1600/%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-vinayak-vanich.jpg" title="vinayak-vanich" /></a></div>
<br />
และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามินทราธิราช รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีสังเวยสมโภช เมื่อวันจันทร์ที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2513 เวลา 10.30 นาฬิกา ในการนี้ได้มีการปฏิสังขรณ์ศาลให้สง่างามยิ่งขึ้น โดยได้เปลี่ยนแปลงลักษณะรูปศาลเป็นแบบจตุรมุขส่วน แต่ในส่วนของยอดปรางค์นั้นให้คงไว้เช่นเดิม<br />
<br />
นอกจากพระหลักเมือง ซึ่งเป็นเทพารักษ์สำคัญแล้ว ภายในศาลยังมีเทพารักษ์ผู้พิทักษ์ให้ความร่มเย็นแก่แผ่นดิน และประชาราษฎร์อีก 5 องค์ คือ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-jqmsKWTXgOU/TxI1APYLXII/AAAAAAAAAqw/x5iEX7R8Pfk/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-vinayak-vanich.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="281" src="http://1.bp.blogspot.com/-jqmsKWTXgOU/TxI1APYLXII/AAAAAAAAAqw/x5iEX7R8Pfk/s400/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-vinayak-vanich.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
1.พระเสื้อเมือง เป็นเทพารักษ์หล่อสัมฤทธิ์ ปิดทอง สูงประมาณ 93 เซนติเมตร มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ คุมกำลังไพล่พลแสนยากร รักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็น สุขปราศจากอริราชศรัตรูมารุกราน<br />
2.พระทรงเมือง เป็นรูปเทวดาสวมมงกุฎหล่อด้วยสัมฤทธิ์ปิดทอง สูงประมาณ ๗๕ เซนติเมตร มีหน้าที่รักษาการปกครองและกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ดูแลทุกข์สุข ของประชาชน ให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี<br />
3.พระกาฬไชยศรี เป็นเทพารักษ์หล่อสัมฤทธิ์ ปิดทอง สูง 86 เซนติเมตร เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ผู้ทำบาปไปสู่ยมโลก<br />
4.เจ้าพ่อเจตคุปต์ เป็นเทพารักษ์แกะสลักด้วยไม้ปิดทองสูง ๑๓๓ เซนติเมตร เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่จดจำความชั่วร้ายของชาวเมืองที่ตายไปแล้วและอ่านประวัติของผู้ตายเสนอพระยม<br />
5.เจ้าพ่อหอกลอง เป็นเทพารักษ์หล่อสำริดปิดทอง สูง ๑๐๕ เซนติเมตร มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเหตุการณ์ต่าง ๆ อันเกิดขึ้นในแผ่นดิน เป็นต้นว่าคอยรักษาเวลาย่ำรุ่ง ย่ำค่ำ และเที่ยงคืน เกิดอัคคีภัยหรือมีข้าศึกศัตรูยกมาประชิดพระนคร<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
เอกสารครบรอบ 222 ปี วันสถาปนาองค์พระหลักเมือง 21 เมษายน 2547<br />
โดย องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-9305136153300998182012-01-10T08:11:00.000+07:002013-08-14T11:00:43.858+07:00ผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง-พระวิศวกรรม<h2>
ผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง-พระวิศวกรรม </h2>
<b><span style="font-size: large;">สวัสดีครับ</span></b> ปีใหม่ผ่านไปพร้อมกับบทความมงคล 2 บทความ คือ มงคล และสิริ 8 -01 กับมงคล และสิริ 8 -02 และที่ผ่านไปอีก อย่างคือเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ มหาอุทกภัย ระดับชาติ ที่หลายคนไม่มีทางลืมมันไปได้ ก็อยากให้กำลังใจทุกท่านสู้กับชีวิตในวันข้าง หน้าต่อไปนะครับ ส่วนผมก็ประสบภัยเช่นกันแต่ยังพอปรับตัวได้ ที่จะเสียดายหน่อยก็ hard disk ที่เก็บข้อมูลต่างๆไว้ 3 ลูก จมน้ำเรียบร้อยครับ เหลือที่ติดเครื่องอยู่ลูกเดียวกับ ข้อมูลที่ไม่ประติดประต่อกัน ก็คิดว่ามีข้อมูลอะไรที่เหลือคงจะโพสท์ขึ้นอินเตอร์เน็ต ดีกว่าขืนเก็บไว้กับตัว ปีหน้ามันจะเหลือหรือเปล่าก็ไม่ทราบให้บังเอิญว่าให้ผมพบรูป พระวิษณุกรรมเก็บไว้ แต่ไม่ทราบที่มาที่ไปว่ามาจากเว็บไหน-ใครเป็นคนวาด แต่ข้อมูลที่มีผู้ค้นคว้าเกียวกับประวัติท่านยังอยู่ติดเครื่องเป็นของ คุณปฏิพันธ์ อุทยานุกูล(สถาบันภาษา มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงราย) ก็ขอกล่าวถึงพระวิศวกรรมตามงานค้นคว้าตามนี้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-bJbNyrygflM/Ugr-gPtKkII/AAAAAAAABAk/MZQtoQ4PneI/s1600/Wis+Sa+Nu+Kram-02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="640" src="http://4.bp.blogspot.com/-bJbNyrygflM/Ugr-gPtKkII/AAAAAAAABAk/MZQtoQ4PneI/s640/Wis+Sa+Nu+Kram-02.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="443" /></a></div>
<br />
<br />
<b>พระวิศวกรรม</b>นั้นถือเป็นเทพ "ชั้นผู้ใหญ่" ที่สถิตย์อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ และเป็นบริวารของพระอินทร์อีกที หนึ่ง มีชื่ออยู่หลากหลายตามประสาของเทพ ทั้ง<b>พระวิษณุกรรม พระวิศวกรรมา พระวิสสุกรรม วิศวกรรมัน พระเวสสุกรรม</b> หรือ <b>พระเพชฉลูกรรม</b> ซึ่งชื่อทั้งหมดที่ว่ามานั้นสามารถกล้อมแกล้มแปลความหมายได้ว่า "ผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง"<br />
<br />
ตำนานเทพเจ้าของฮินดูนั้นกล่าวว่า พระวิศวกรรมมีสามตา กายสีขาว ทรงอาภรณ์สีเขียว โพกผ้า ในการสร้างรูปเคารพมักจะไม่เหมือนกัน เช่นบ้างก็สร้างให้พระองค์ถือ คทา จอบ ไม้วา ไม้ฉาก ผึ่ง (เครื่องมือสําหรับ ถากไม้ รูปร่างคล้ายจอบ แต่มีขนาดเล็กกว่าและด้ามสั้นกว่า) และลูกดิ่ง เป็นต้น<br />
<br />
ในพุทธ ศาสนาของเรานั้นพระวิศวกรรมมีบทบาทมาก ในตำนานเล่าว่า ท่านเป็นผู้สร้างบรรณศาลาและอาศรมให้แก่พระโพธิสัตว์หลายพระองค์ เท่าที่จำได้ก็เห็นจะเป็น<b>พระเวสสันดร</b> ในมหาเวสสันดรชาดก เป็นผู้สร้างบันไดเงิน บันไดทอง บันไดแก้วถวายแด่สมเด็จพระสรรญเพชรชุดาญาณสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อใช้เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัส-สนคร หลังจากเสร็จภารกิจในการเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ช่วงเข้าพรรษา<br />
<br />
ส่วนในวรรณคดีไทยก็มีปรากฏอยู่หลาย ๆ เรื่องที่พระวิศวกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะต้องทำตามบัญชาของ<b>พระอินทร์</b>ในการช่วยเหลือผู้มีบุญ เช่นในเรื่องสังข์ทอง(ในปัญญาสชาดกเรียกว่า "สุวรรณสังขราชกุมาร") พระอินทร์ก็มีเทวบัญชาให้พระวิศวกรรมไปท้าท้าวสามนต์บิดาของนางจรนาตีคลี ซึ่งสุดท้ายพระสังข์ก็ต้องถอดรูปเงาะและอาสาออกไปแข่งคลีแทน<br />
<br />
ใน<b>รามเกียรติ์</b>ก็บอกว่าเมืองลงกาของ<b>ทศกัณฐ์</b>และเมืองทวารกาของ<b>พระกฤษณะ </b>นั้นก็สำเร็จด้วยฝีมือของพระวิศวกรรมเช่นกัน และถ้าใครอ่านชื่อเต็มของกรุงเทพฯให้ดีๆ ก็จะพบว่า พระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างด้วยนะ ไม่เชื่อลองไปดูคำว่า“…วิษณุกรรมประสิทธิ์” สิครับ<br />
<br />
อีกตอนหนึ่งที่พระวิศวกรรมมีบทบาทก็คือตอนกำเนิด<b>พระคเณศวร</b> คือแรกเริ่มเดิมที<b>พระคเณศ</b>ก็เหมือนกับกุมารธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ แต่ด้วยวาจาสิทธิ์ของ<b>พระนารายณ์</b>ก็เลยทำให้เศียรของพระกุมารคเณศวรขาดหายไป ครานี้ก็ถึงทีที่พระวิศวกรรมต้องระเห็จไปหาเศียรมาต่อ ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ พอดีไปเจอช้างพลายตัวหนึ่งนอนตายโดยหันหัวไปทางทิศเหนือ (บ้างก็ว่าทิศใต้) พระวิศวกรรมก็เลยตัดหัวช้างตัวนั้นแล้วนำมาต่อเข้ากับกายพระกุมารคเณศวร และพระคเณศวรจึงมีเศียรเป็นช้างแต่นั้นมา<br />
<br />
ในวรรณคดีเรื่องลิลิตนารายณ์สิบปาง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่หก มีการกล่าวถึงพระวิศวกรรมไว้ในปางที่สอง <b> กูรมาวตาร </b> เรื่องของเรื่อก็คือว่ามีการกวน<b>น้ำอมฤต</b>กัน และเมื่อกวนไป ๆก็เกิดของวิเศษผุดขึ้นมา ได้แก่<b>โคสุรภี</b> (เทวดายกให้พระ<b>ฤษีวศิษฐ์</b>) เหล้า <b>ต้นไม้ปาริชาต</b> (พระอินทร์เอาไปเก็บไว้บนสวรรค์) <b> นางอัปสร พระจันทร์ </b> (<b>พระอิศวร</b>เอาไปเป็นปิ่นปักผม) พิษ (ตอนแรกงูและนาครีบมาสูบ แต่พระอิศวรกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก พระองค์ก็เลยเสวยเสียเอง ทำให้พระศอของพระองค์ไหม้เป็นสีดำ) <b>พระศรีเทวี</b> และสุดท้ายน้ำอมฤตก็ตามมา ในตอนที่พระศรีเทวีหรือ<b>พระลักษมี</b>ผุดขึ้นมานั้น พระวิศวกรรมเป็นผู้เนรมิตอาภรณ์ ให้พระนางสรวมใส่ ดังโคลงที่ว่า<br />
อันสุรเทพผู้ ศิลปี<br />
วิศวะกรรมาเอก<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ช่างนั้น<br />
นิรมิตรเครื่องทรงศรี สุวรรณรัตน์<br />
แวววับจับช่อชั้น นภา<br />
เมื่อคราวที่พระศรีกำเนิดนั้นปวงเทวาและอสูรต่างหมายปอง แต่พระนางไม่เหลียวแลใครเลย พอใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ไปถวายบังคมแทบบาทพระวิษณุนารายณ์ พระองค์ก็ทรงโอบกอดรับไว้กับทรวง ไหน ๆ ก็ก้าวเลยมาถึงตำนานเทพของฮินดูแล้ว ก็ขอเลยไปถึงเรื่องครอบครัวของพระวิศวกรรมอีกสักนิดก็แล้วกันนะครับ<br />
<br />
พระวิศวกรรมนั้นมีลูกสาวชื่อว่า<b>นางสัญชญา</b> เกิดแต่นางฆฤตาจี ซึ่งเป็นหนึ่งในนางอัปสร 11 นางที่งามเลิศที่สุด นางสัญชญาเป็นมเหสีของ<b>พระอาทิตย์ </b> ก็อยู่กินด้วยกันนานมาก แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งลูกสาวก็มาบ่นให้พ่อตัวฟังว่าชักจะทนรับรัศมีอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ไม่ไหวแล้ว ด้วยหัวอกของผู้เป็นพ่อที่รักลูกสาว ก็เลยจับลูกเขยคือพระอาทิตย์มาขูดฉวี (ผิวกาย) ออกไปซะส่วนหนึ่ง (ไม่รู้มากน้อยเท่าใด) เพื่อลดความร้อนแรงให้น้อยลง จากนั้นก็เอาส่วนที่ขูดออกมานั้นไปออกแบบเป็นอาวุธนานาชนิดจ่ายแจกแก่เทวดาทั้งหลาย เช่น ทำตรีศูลถวายให้พระอิศวร จักร สำหรับพระนารายณ์ วชิราวุธ (สายฟ้า) ให้พระอินทร์ คทา ให้<b>ท้าวกุเวร</b> และ โตมร (อาวุธสำหรับใช้ซัด - หอก)ให้พระ<b>ขันทกุมาร</b> เป็นต้น<br />
<br />
บทบาทของนายช่างเอกแห่งสวรรค์ยังไม่หมดนะครับ เพราะนอกจากจะเป็นนายช่างใหญ่แล้ว พระวิศวกรรมยังมีความสามารถทางด้านดุริยะดนตรีอีกด้วย ตามตำนานกล่าวว่า เป็นผู้สร้างเครื่องดนตรีขึ้นใช้ ทำให้เกิดเสียงที่ไพเราะขึ้น ดังนั้น เราจึงเคารพบูชาท่านในฐานะ เป็นครูผู้สร้างสรรค์เครื่องดนตรีให้เกิดขึ้น ตามตำนานเล่าต่อกันมาว่าเมื่อแรกในอดีตกาล มนุษย์ยังไม่มีอารยะธรรมอย่างเช่นทุกวันนี้ การละเล่นและการบันเทิงต่าง ๆ ยังไร้ระบบระเบียบ จะร้องจะเล่นสิ่งใดก็ขาดความไพเราะและความงดงาม จนร้อนถึงพระอินทร์ ด้วยนึกเวทนาเหล่ามนุษย์จึงมีเทวบัญชาให้พระวิศวกรรมนายช่างใหญ่ประจำสวรรค์ ลงมาบอกสอนมนุษย์ให้รู้จักการละเล่นอย่างเหมาะสม พระวิศวกรรมรับเทวโองการแล้วจึงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์และจำแลงองค์เป็น<b>ชีปะขาว</b>เที่ยวจาริกไป ถึงท้องที่ถิ่นใดก็นำความรู้การละเล่นต่าง ๆ วิชาช่าง รวมถึงวิชาช่างทำเครื่องดนตรีมาสอนแก่มนุษย์ นับแต่นั้นมามนุษย์จึงรู้จักการสร้างและเล่นเครื่องดนตรี จนมีการพัฒนารูปแบบมาจนถึงปัจจุบันนี้<br />
<br />
ในวงการนาฏศิลป์ไทยมีการทำหัวโขนของพระวิศวกรรมด้วย โดยมีสองแบบคือทำเป็นหน้ามนุษย์ สีเขียวแก่ หรือเขียวใบแค สวมเทริด หรือมงกุฎยอดน้ำเต้า และ ทำเป็นหน้ามนุษย์ สีเขียวแก่ หรือเขียวใบแค ศีรษะโล้น มีกระบังหน้าหรือโพกผ้าสีเขียนลายดอกไม้บริเวณผม นัยว่าแบบนี้แสดงถึงช่วงที่ทำงานช่างจึงไม่ทรงเครื่องประดับ แต่มักพบเห็นได้น้อยกว่าแบบแรก…<br />
<br />
(ที่กล่าวมาทั้งหมดนี่ผู้เรียบเรียงต้องการจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระวิศวกรรมไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะนึกขึ้นมาได้ และเขียนด้วยภาษาที่เป็นวิชาการน้อยที่สุด ดังนั้นผู้อ่านที่จะนำไปใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการจึงควรชั่งใจให้จงดี เพราะข้อผิดพลาดจากการนึกถึงเรื่องราวที่ผู้เรียบเรียงอ่านไว้เมื่อเกือบสิบปีแล้วย่อมจักต้องมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างซึ่งก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย)Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-88787370036919026262012-01-05T11:29:00.002+07:002013-08-30T13:41:42.504+07:00มงคล 8 สิริ 8 -02ต่อจากบทความที่แล้ว<a href="http://www.vinayak-vanich.blogspot.com/2012/01/8-8.html" target="_blank"> สิริและมงคล 8 (ภาคที่ 1)</a> ว่า มงคล 8 ประการแบ่งแยกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ <b>สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล </b> และสิ่งของที่ใช้เป็<b>นสัญลักษณ์ของมงคล</b> โดย สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล 8 ประการ<br />
1. ใบเงิน หมายถึง ความมั่งคั่ง<br />
2. ใบทอง หมายถึง ความมั่งคั่ง<br />
3. ใบนาค หมายถึง ความมั่งคั่ง<br />
4. ใบพรหมจรรย์ หมายถึง ความบริสุทธิ์สะอาด<br />
5. หญ้าแพรก หมายถึง ความเจริญงอกงามรวดเร็ว<br />
6. ฝักส้มป่อย หมายถึง การล้างโรคภัย<br />
7. ผิวมะกรูด หมายถึง ทำให้สะอาด<br />
8. ใบมะตูม หมายถึง เทพพรของพระเป็นเจ้าของศาสนาพราหมณ์ทั้งสาม คือ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม<br />
สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล ๘ ประการจะมีปรากฏในหม้อหรือขันเทพมนต์ของพราหมณ์ หรือในหม้อในขันและในบาตรพระพุทธมนต์ที่เกี่ยวกับพิธีทางศาสนาโดยทั่วไป<br />
<br />
ส่วน สิ่งของที่ใช้เป็น<b>สัญลักษณ์ของมงคล</b> 8 ประการ ซึ่งมีประวัติผูกพันกับคติประเพณีของพราหมณ์รามวงศ์นำมาเผยแพร่ ได้แก่<br />
1 ตะบอง (คทา ) 2. สังข์ 3. จักร 4. ขอช้าง 5. ธงชัย (ธงชาย)<br />
6.กรอบหน้า 7. โคอุสภะ 8. หม้อน้ำ<br />
สิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล 8 อย่างนี้ กล่าวกันว่ามีประวัติผูกพันกับคติประเพณีของพราหมณ์รามวงศ์นำมาเผยแพร่ ซึ่งมีชี่อเป็นภาษาบาลีว่า<b>อัฎฐพิธมงคล</b> ซึ่งแปลว่ามงคล 8 ประการนั่นเอง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-9mzkjWCM3NI/TwUjkUcGErI/AAAAAAAAAoo/ww10Ez3Fcj0/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C-%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%258C+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-9mzkjWCM3NI/TwUjkUcGErI/AAAAAAAAAoo/ww10Ez3Fcj0/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C-%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%258C+by+Vinayak-Vanich.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" /></a></div>
<br />
<b> 1.ตะบอง</b> หรือคทา หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า “เป็นศาตราวุธอย่างหนึ่งของพระนารายณ์เป็นเจ้า” ตำราโบราณอธิบายเก็บความได้ว่า “ตะบองเดิมเป็น เทพวราวุธของพระพรหม ทำจากเถาวัลย์บนยอดเขาพระสุเมรุ พระนารายณ์ได้เสด็จไปพบเข้า จึงถอนเอามาด้วยพละกำลังอันแรงกล้า แล้วบิดให้เถาวัลย์นั้นเข้ารวมกันจนเป็นเกลียว แล้วถวายพระพรหมเพื่อทรงใช้เป็นเทพวราวุธคู่พระหัตถ์ ต่อมาพระพรหมถวายแด่พระอิศวร ตะบองนี้มีอานุภาพมากเป็นที่หวั่นเกรงของหมู่ยักษ์และภูตผีปิศาจ” เรื่องตะบองศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ถูกจำลองมาทำด้วยใบลานหรือใบตาลเป็นรูปแบนๆ เรียกว่า “ตะบองเพชร” ตรงปลายทำเป็นหงอน ซึ่งความจริงเป็นรูปพรหมสี่หน้า แต่ทำพอเป็นเลาๆ จึงไม่เห็นชัด ในเวลาโกนจุกเด็กๆ พราหมณ์จะให้เด็กถือตะบองดังกล่าวนี้ไว้เพื่อป้องกันสรรพภัยพิบัติ และช่วยให้เกิดสิริมงคล และในพระราชพิธีตรุษสมัยก่อน ผู้ฟังสวดภาณยักษ์ จะได้รับแจกตะบองเพชร (ใบลาน) ให้ถือกันด้วย<br />
<br />
<br />
<b> 2.จักร </b>เป็นเทพวราวุธของพระอิศวรมีรูปเป็นวงกลม อย่างวงล้อและมีแฉกโดยรอบ ๙ แฉก เวียนไปทางขวาเป็น ทักษิณาวัตร ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า เป็นศาตราวุธของพระนารายณ์ ตำราเก่าเล่าความเป็นมาและความศักดิ์สิทธิ์ของ “จักร” ไว้เป็นใจความว่า “พระอิศวรทรงสร้างเทวดานพเคราะห์ขึ้น ๙ องค์ คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู พระศุกร์ และพระเกตุ ให้อยู่ในวิมาน ๙ วิมาน มีหน้าที่ตระเวนรอบจักรราศี ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑๒ ราศี โดยเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ องค์ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามลำดับนับตั้งแต่พระอาทิตย์ไปจนพระเกตุ และเทวดานพเคราะห์นั้นอาจบันดาลให้มนุษย์ประสบผลดีผลชั่วได้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นจักราวุธของพระอิศวร และถูกจำลองมาเป็นจักรมี ๙ แฉก แยกตามลำดับดาวนพเคราะห์ เช่น แฉกที่ ๑ พระอาทิตย์ แฉกที่ ๒ พระจันทร์ เรียงลำดับไป ดังนั้นผู้ที่ต้องการบำบัดทุกข์ภัยที่เกิดขึ้น จึงประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทวดา และนำจักร ๙ แฉกซึ่งถือว่าเป็นเทพวราวุธของพระอิศวร จัดเป็นสิ่งมงคล แทนเทวดาทั้ง ๙ เข้าร่วมในพิธีกรรม”<br />
(จักร (อักษรเทวนาครี: चक्रं, ภาษาปัญจาบ: chakkar, ภาษามาเลย์: cakera), เป็นอาวุธที่มีต้นกำเนิดในอินเดีย รูปร่างเป็นโลหะแบน เป็นวงกลม [1] จักรในภาษาไทยมาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงล้อ หรือวงกลม ตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ และเป็นอาวุธของพระนารายณ์ชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นรูปคดเคี้ยว 8 แฉก และมีลวดลายอยู่ในเส้นวงกลม (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี))<br />
<br />
<br />
<b> 3.สังข์ </b>ในคำโคลงเป็น ศรีสังข์ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า เป็นศาตราวุธของพระนารายณ์เช่นเดียว กับตะบอง ในตำราของเก่าเล่าว่า “ในปฐมกัลป์ โลกของเรายังว่างเปล่าอยู่ พระอิศวรได้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้นมาอีกจนครบถ้วน แล้วก็ทรงพระราชดำริจะสร้างคัมภีร์พระเวทขึ้นไว้คู่กับโลก จึงทรงมีเทวบัญชาให้พระพรหมสร้างขึ้น เมื่อพระพรหมสร้างเสร็จแล้วก็นำไปถวายพระอิศวรแต่ขณะเสด็จมาเกิดความร้อนพระวรกายและบังเอิญผ่านมหาสมุทร พระพรหมจึงหยุดสรงน้ำ โดยวางพระคัมภีร์ไว้ ณ ริมฝั่งมหาสมุทร ขณะเดียวกัน มีพรหมอีกคู่หนึ่งเป็นคู่อาฆาตกันได้จุติจากพรหมโลกลงมาเกิดเป็นยักษ์หอยสังข์มีชื่อว่า “สังขอสูร” สิงสถิตอยู่ในแถบมหาสมุทรแห่งนั้น เห็นคัมภีร์พระเวท จึงแอบขโมยเอามากลืนเข้าไปไว้ในท้อง แล้วลงไปนอนกบดานนิ่งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร พระพรหมเสด็จขึ้นจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์พระเวท ตกพระทัยรีบเสด็จไปเฝ้าพระอิศวร กราบทูลให้ทรงทราบ พระอิศวรทรงทราบด้วยพระญาณจึงมีเทวบัญชาให้พระนารายณ์ลงไปปราบและนำคัมภีร์พระเวทคืนมา พระนารายณ์รับโองการแล้ว เสด็จลงไปปราบสังขอสูรโดยอวตารหรือแปลงองค์เป็นปลากรายทอง(มัสยาวตาร)ทรงปราบสังขอสูรได้แล้วแหกอกล้วงเอาพระเวทกลับคืนไปถวายพระอิศวร พระอิศวรจึงสาปว่า ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลให้ใช้สังข์เป็นเครื่องหลั่งน้ำมนต์เป็นการประสาทพรจะทำให้เกิดสวัสดิมงคล พวกเป่าสังข์ให้เกิดเสียงดังก็จะเกิดสวัสดิมงคลจนกระทั่งสิ้นเสียงสังข์” สังข์ หรือ หอยสังข์จึงถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของมงคล เพราะจุติมาจากพรหมโลก เคยเป็นที่เก็บพระเวท และ ต้องพระหัตถ์พระนารายณ์มาแล้ว<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-Fu2djnOotOM/TwUj1SsWe6I/AAAAAAAAAo0/T1TqXk5i8Ho/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/-Fu2djnOotOM/TwUj1SsWe6I/AAAAAAAAAo0/T1TqXk5i8Ho/s320/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587+by+Vinayak-Vanich.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="241" /></a></div>
<br />
<b> 4.ขอช้าง</b> เป็น เทพวราวุธของพระพิฆเณศวร ซึ่งเป็นโอรสของพระอิศวร ขอช้างได้รับความนับถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งมงคลนั้น ตำราเล่าว่า “ในป่าหิมพานต์ ครั้งหนึ่งเกิดมีช้างพลายเชือกหนึ่งชื่อ เอกทันต์ เป็นช้างที่ดุร้ายมีฤทธิ์มากเที่ยวสร้างความเดือดร้อนให้เทวดาและมนุษย์จนอยู่ไม่เป็นสุข ไม่มีใครปราบได้ พระอิศวรจึงทรงมีบัญชาให้พระนารายณ์ลงมาปราบ ช้างเอกทันต์พยายามหลบหนีเพราะรู้ตัวดีว่าสู้ไม่ได้ พระนารายณ์ตามไปจนพบ และทรงใช้บ่วงบาศคล้องเอาช้างเอกทันต์ไว้ได้ แต่เกิดปัญหาว่าบริเวณที่จับช้างได้นั้น เป็นทุ่งกว้างโล่ง ไม่มีต้นไม้หาที่ผูกช้างไม่ได้ ในที่สุดจึงทรงปักตรีศูลอันเป็นเทพศาตราวุธลงไปในดิน แล้วตรัสสั่งให้เทพศาตราวุธนั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นเทพศาตราวุธก็กลายเป็นต้นมะตูมใหญ่ จึงทรงผูกช้างไว้กับต้นมะตูมทรมานจนช้างคลายพยศ แล้วเสด็จขึ้นทรงพร้อมกับหักกิ่งมะตูมอันเป็นหนามมาทำเป็นขอช้าง บังคับนำช้างไปเฝ้าพระอิศวร และต่อมา พระนารายณ์ก็ทรงมอบขอช้างนั้นแก่พระพิฆเณศวร เป็นเทพอาวุธประจำพระองค์ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นไม้มะตูมจึงถือว่าเป็นมงคล มักจะนำใบมะตูมใส่ลงไปในน้ำมนต์หรือรดน้ำมนต์แล้วก็เอาใบมะตูมทัดหู ด้วยถือว่าเป็นสิริมงคลเหมือนกับขอช้าง”<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-X_ejO5k4X1s/TwUkCAkF4NI/AAAAAAAAApA/WPS1dNOCbvQ/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://3.bp.blogspot.com/-X_ejO5k4X1s/TwUkCAkF4NI/AAAAAAAAApA/WPS1dNOCbvQ/s200/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2+by+Vinayak-Vanich.jpg" width="155" /></a></div>
<br />
<b> 5.ธงชัย</b> หรือธงชาย เหตุที่เรียกว่า “ธงชัย” หมายถึง ธงอันจะนำมาซึ่งชัยชนะ เป็นธงที่นำกองทัพ ส่วนที่เรียกว่า ธงชาย นั้นเพราะรูปลักษณะเป็น ธงสามเหลี่ยม มีชายห้อยลงมาเป็น ๓ ชาย ชายหนึ่งหมายถึงพระอิศวร ชายหนึ่งหมายถึง พระนารายณ์ และอีกชายหนึ่งหมายถึงพระพรหม ธงดังกล่าวนี้เป็นธงนำกองทัพเทวดา ยกออกไปรบยักษ์ และได้ชัยชนะเป็นประจำ ธงชายจึงมาเป็นธงชัย ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของธงชัยไปบ้าง ดังธงชัยประจำกองทัพ กองพัน ธงประจำองค์พระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินขบวนพยุหยาตรา ธงชัย หรือ ธงชาย จึงเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งอันเป็นมงคลประการหนึ่ง <br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/---riXxgGaOU/TwUkbCFmwOI/AAAAAAAAApM/OTxvbic7hc4/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/---riXxgGaOU/TwUkbCFmwOI/AAAAAAAAApM/OTxvbic7hc4/s320/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2+by+Vinayak-Vanich.jpg" width="281" /></a></div>
<br />
<b>6. กรอบหน้</b>า เป็นสัญลักษณ์ของมงคล โดยหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า “เครื่องประดับหัวอันเป็นหลักของกาย” ส่วนคำโบราณของเก่าอธิบายพอเก็บความได้ว่า “กรอบหน้ามีความสัมพันธ์กับหญ้าแพรกและสายสิญจน์”<br />
กล่าวคือ หญ้าแพรกที่ถือว่าเป็นใบไม้มงคลอย่างหนึ่งนั้นมีกำเนิดมาจากบัลลังก์อาสน์ของพระนารายณ์ซึ่งบรรทมหลับอยู่เหนือ หลังพญานาคที่ขดตัวเป็นวงเป็นแท่นบัลลังก์ เมื่อพระนารายณ์เสด็จลงมาช่วยมนุษย์แล้วก็จะเสด็จกลับไปบรรทม ณ แท่นบัลลังก์พญานาคเป็นเวลานานมากๆ นานมากจนกระทั่งปรากฏว่า หนวดของพญานาคได้เจริญงอกงามและยาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยาวมากก็หลุดลอยไปตามกระแสน้ำ บ้างก็มาติดอยู่ตามชายฝั่งทะเล แล้วกลายเป็นหญ้าแพรก ภายหลังมนุษย์รวมเหตุที่มาของหญ้าแพรก เกิดความศรัทธาว่าเป็นมงคล จึงเอามาทำเป็นมงคลบ้าง สายสิญจน์บ้าง ถักทำเป็นครอบหน้าสวมศีรษะบ้าง ซึ่งในเวลาต่อมามงคลและสายสิญจน์ได้ถูกเปลี่ยนจากหญ้าแพรกเป็นด้ายดิบในปัจจุบัน รวมทั้งกรอบหน้าก็ได้เปลี่ยนจากหญ้าแพรกมาเป็นสิ่งอื่นจนถึงเป็นโลหะเช่นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมงคลสิ่งหนึ่ง<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-dHzAWhFM2W8/TwUkoc_88uI/AAAAAAAAApY/VU3wKmu-Q2A/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B0+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" height="196" src="http://1.bp.blogspot.com/-dHzAWhFM2W8/TwUkoc_88uI/AAAAAAAAApY/VU3wKmu-Q2A/s200/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B0+by+Vinayak-Vanich.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="200" /></a></div>
<br />
<b>7.โคอุสภะ </b>บางแห่งเรียกว่า โคอุสภราช เป็นพาหนะของพระอิศวร ดังนั้นเมื่อจะทำการมงคลใดๆ จึงนิยมเอามูลโคมาเจิมที่หน้าผากเพื่อให้เกิดสิริมงคล แต่เมื่อประเพณีดังกล่าวแพร่มาถึงเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงมูลโคเป็นแป้งกระแจะละลายในน้ำหอมแทน เหตุที่เจิมตรงหน้าผาก ก็เพราะเชื่อว่าที่หน้าผากนั้นเป็นที่อยู่ของสิริประจำตัวมนุษย์ทุกคน หรือบางท่านกล่าวว่าตรงหน้าผากเป็นที่สถิตของดวงตาที่ ๓ ของพระอิศวร จึงเจิมตรงนั้นให้เป็นสิริมงคลหรือเป็นสัญลักษณ์ของมงคลอย่างหนึ่ง<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-4N3KKQ-ok5M/TwUk5Y5E5zI/AAAAAAAAApk/u9ovgusQHUo/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" height="233" src="http://3.bp.blogspot.com/-4N3KKQ-ok5M/TwUk5Y5E5zI/AAAAAAAAApk/u9ovgusQHUo/s320/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3+by+Vinayak-Vanich.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="320" /></a></div>
<br />
<b>8.หม้อน้ำ</b> ถือกันว่า พระอุมาซึ่งเป็นมเหสีพระอิศวร ทรงเลี้ยงโลกมาด้วยน้ำนมจากพระถันยุคล จึงจำลองมาเป็นหม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ มีน้ำเต็ม บางแห่งเรียกว่าเต้าน้ำมนต์ และใน หม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ แม้บาตรน้ำมนต์ก็มักจะใส่สิ่งอันเป็นมงคล คือ ใบทอง ใบเงิน ใบนาค ใบพรหมจรรย์ ฝักส้มป่อย หญ้าแพรก ผิวมะกรูด และใบมะตูม หรือจะใช้ดอกบัว ลอยแทนก็ได้ จะลอย ๕ ดอก ๓ ดอก หรือดอกเดียวก็ได้ตามขนาดของที่บรรจุน้ำมนต์ การใช้ดอกบัวลอยเป็นอีกคติหนึ่ง คือ สมมุติว่าน้ำนั้นได้มาจากสระโบกขรณี หม้อน้ำมนต์ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งสิ่งอันเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ดังจะเห็นได้ว่าการทำบุญส่วนใหญ่มักจะมีหม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ตั้งอยู่ด้วยเสมอ ไทยเราสมัยโบราณ มักจะมีหม้อใส่น้ำเต็มตั้งไว้หน้าพระในห้องพระเสมอ และนำน้ำนั้นมาล้างหน้า โดยถือว่าเป็นน้ำมนต์เพราะก่อนนอนคนไทยมักจะสวดมนต์ไหว้พระเสมอ<br />
<br />
เรื่องมงคล ๘ ประการ เป็นคติความเชื่ออันเกิดจากศาสนาพราหมณ์ แต่ยังเป็นความเชื่อที่พุทธศาสนิกชนนิยมนับถืออยู่ และถือว่าจะบันดาลความสุขให้ตน แถมอีกนิดสำหรับมงคล 8 ประการ โดย หลวงปู่เกลี้ยง เตชธัมโม วัดโนนแกด ซึ่งท่านว่าตามนี้<br />
<br />
1. ล้างเท้าก่อนนอน<br />
2. ผ้านุ่งห้ามเช็ดหน้า<br />
3. ห้ามลอดราวตากผ้า<br />
4. ขี้ เยี่ยว ห้ามหันไปทางทิศตะวันออก – ตก<br />
5. วันพระห้ามร่วมประเวณี<br />
6. ขึ้น – ลงบันได ให้สุดก่อน ห้ามพูดระหว่าง อยู่บันได<br />
7. เวลานอนห้ามนอนกลับหัวกลับหาง<br />
8. ส้มตำอยู่ในครก ห้ามใช้มือหยิบกิน<br />
<br />
ขอให้มีความสุขทุกคนครับ...Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-59835290766805175352012-01-02T10:15:00.001+07:002013-08-30T13:41:42.498+07:00มงคล 8 และ สิริ 8 สวัสดีครับ บทความแรกของปี 2012 นี้ ขอเริ่มด้วย สิ่งอันเป็นมงคล รับปีใหม่ ซึ่งให้บังเอิญว่า สิ่งต่างเหล่านี้ มักจะรวมกันได้ 8 เช่น มงคล 8 หรือ สิริ 8 อย่างแรก ขอเริ่มจาก ตำราพรหมชาติฉบับสมบูรณ์ โดย สำนักพิมพ์อำนาจสาส์น ว่าด้วยเรื่อง ดิถีฤกษ์ห้ามการกระทำพิธีมงคลและสิริ 8 ประการ<br />
<br />
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-D4GczLMMNPw/TwEahcw-xHI/AAAAAAAAAoE/Q5D7If0R0vI/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4+8+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; display: inline !important; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img alt="vinayak-vanich" border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-D4GczLMMNPw/TwEahcw-xHI/AAAAAAAAAoE/Q5D7If0R0vI/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4+8+by+Vinayak-Vanich.jpg" title="vinayak-vanich" /></a><br />
<br />
สิริ 8 ประการ นี้ว่า อยู่สำหรับโลก ถ้าผู้ใดรักษาสิริ 8 ประการ นี้ไว้ได้ เทวดาซึ่งเป็นตัวสิริจะมารักษาผู้นั้นแล ถ้าผู้ใดไม่รักษาตามโลกบัญญัติ 8 ประการนี้ เทวดาสามานย์ อันเป็นตัวกาลกิณีจะเข้าแทรกผู้นั้นให้เสียยศศักดิ์ มงคล แม่นกอินทรีย์ บอกสิริ 8 ประการแก่ลูกนกว่า<br />
คำรบ 1 บุรุษสตรี เว้นจากการเสพกามรสในวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันตรุษสงกรานต์ วันจันทรุปราคา สุริยุปราคา (ราหูจับพระจันทร์ จับพระอาทิตย์) และวันเกิดของตัว ถ้าผู้ใดรักษาได้ เทวดาอันเป็นสิริมาอยู่รักษาผู้นั้นแล<br />
คำรบ 2 ว่าผู้ใดบริโภคอาหารให้บ่ายหน้าไปทิศบูรพา เทวดาอันเป็นสิริ จะเข้ามาอยู่รักษาผู้นั้น<br />
คำรบ 3 ว่าผู้ใดถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ให้บ่ายหน้าไปทางทิศปัจฉิม เทวดาอันเป็นสิริจะเข้ามาอยู่รักษาผู้นั้น<br />
คำรบ 4 ว่า ผู้ใด ๆ จะนอนด้วยกัน ให้หญิงนอกเบื้องซ้าย ชายนอนเบื้องขวา เทวดา อันเป็นสิริ จะเข้ามารักษาผู้นั้นแล<br />
คำรบ 5 ว่าผู้ใดอย่าเอาผ้านุ่งกลางวันกลางคืนรวมกัน ถ้าจะนุ่งให้หมายชายพก หรือทำเครื่องหมายไว้ อย่าให้ผิด อย่านุ่งรวมกัน เทวดาอันเป็นสิริไพรจะเข้ามารักษาแล<br />
คำรบ 6 ว่า เวลาเช้า โยคีสิริอยู่หน้าผาก ให้เสกน้ำล้างหน้าจึงจะเกิดสิริ เทวดาอันเป็ สิริไพรจะเข้ามารักษาแล<br />
คำรบ 7 ว่า เวลาเที่ยง (12.00 น. นาฬิกา) โยคีสิริอยู่อก ให้อาบน้ำทาแป้งเจิมอก และหทัย เทวดาอันเป็นสิริจะเข้ามารักษาแล<br />
คำรบ 8 ว่า เวลาค่ำ โยคีสิริอยู่หน้าหัวแม่เท้าและกลางใจเท้า เมื่อจะเข้านอน ให้อาบ น้ำชำระหัวแม่เท้า และกลางใจเท้าให้เกิดสิริ เทวดาอันเป็นสิริมารักษาแลถ้าปฏิบัติได้ดังนี้ ศัตรูทั้งปวงจะทำร้ายมิได้เลย ถ้ามีผู้คิดร้ายก็ดลใจให้รู้<br />
<br />
ถ้าผู้ใดรักษาสิริ 8 ประการนี้ได้ เทวดาอันเป็นสิริไพร จะเข้ามาให้โทษผู้นั้น ทำให้เป็นคนอัปรภาคถอยยศศักดิ์ในโลกนี้ แม่นกจึงบอกแก่ลูกว่าเจ้าจงรู้สิริ 8 ประการนี้เถิด ( แม่นกแสดงให้ลูกนกฟังดังนี้ โลกพรหมอยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินทุกสิ่ง ครั้นวันรุ่งขึ้นเป็นวันคำรบเจ็ดวันโลกพรหมก็ไปรอคอยเทวพรหมอยุ่ พอถึงเวลาเทวพรหมก็เสด็จลงมา โลกพรหมก็แสดงแก้อรรถปัญหาปริศนา 8 ข้อ ตามได้ยินมาจากคำแม่นกแสดงแก่ลูกนกทั้ง 8 ข้อ เทวพรหมก็มีความยินดีสรรเสริญต่าง ๆ แก่โลกพรหม แลฯ)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-O6DNrB7iUYg/TwEbPvYVujI/AAAAAAAAAoQ/i9jxlyTiP6Q/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-O6DNrB7iUYg/TwEbPvYVujI/AAAAAAAAAoQ/i9jxlyTiP6Q/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+by+Vinayak-Vanich.jpg" /></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-O6DNrB7iUYg/TwEbPvYVujI/AAAAAAAAAoQ/i9jxlyTiP6Q/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><br /></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-O6DNrB7iUYg/TwEbPvYVujI/AAAAAAAAAoQ/i9jxlyTiP6Q/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><br /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
สิทธิการิยะ โบราณาจารย์ ท่านกล่าวสอนสืบต่อกันมาว่า สงฆ์ 14 นาที 11 สมรส 4 เผาศพ 15 อย่าพึงกระทำเลย มิดี<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1. สงฆ์ 14 หมายถึง นิมนต์พระสงฆ์มาบวชนาค ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ มิให้กระทำในวันขึ้นหรือแรม 14 ค่ำ (มิใช่หมายถึงจำนวนพระสงฆ์) จะเดือดรอน หรือเกิดอาเพศ ต่อบ้านแล<br />
2. นารี 11 หมายถึง ขึ้นหรือแรม 11 ค่ำ ห้ามโกนจุกลูกสาว (ไม่ห้ามลูกชาย) มิดีแล<br />
3. สมรส 7 หมายถึง ไม่ควรแต่งงาน สมรสในวันขึ้นหรือแรม 7 ค่ำ ยิ่งถ้าตรงกับวันศุกร์ด้วยแล้ว ท่านห้ามเด็ดขาดจะแพ้ภัยตัวเองอยู่กินด้วยกันไม่ยืดแล<br />
4. ปลงศพ 15 หมายถึง วันพระ วันธรรมสวนะ ไม่ควรกระทำฌาปนกิจศพ ถ้ายิ่งตรงกับวันศุกร์ด้วยแล้ว ท่านห้ามไวเด็ดขาด (เพราะตรงกับวันปลงพระศพ ของพระพุทธเจ้า มิดีแล)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-VLlTljXNO28/TwEbb_h5Q_I/AAAAAAAAAoc/pXYUuxpERGA/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-VLlTljXNO28/TwEbb_h5Q_I/AAAAAAAAAoc/pXYUuxpERGA/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8+by+Vinayak-Vanich.jpg" /></a><a href="http://4.bp.blogspot.com/-VLlTljXNO28/TwEbb_h5Q_I/AAAAAAAAAoc/pXYUuxpERGA/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><br /></a><a href="http://4.bp.blogspot.com/-VLlTljXNO28/TwEbb_h5Q_I/AAAAAAAAAoc/pXYUuxpERGA/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8-%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A5+8+by+Vinayak-Vanich.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><br /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
มงคล ๘ ประการ หรือที่เรียนกันสั้นๆ ว่า มงคล ๘ เป็นมงคลที่พุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นมงคลภายนอก ไม่มีปรากฏในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ยอมรับประพฤติปฏิบัติกัน<br />
อย่างแพร่หลายมงคล ๘ ประการแบ่งแยกได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล และสิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล โดย สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล ๘ ประการ<br />
1. ใบเงิน หมายถึง ความมั่งคั่ง<br />
2. ใบทอง หมายถึง ความมั่งคั่ง<br />
3. ใบนาค หมายถึง ความมั่งคั่ง<br />
4. ใบพรหมจรรย์ หมายถึง ความบริสุทธิ์สะอาด<br />
5. หญ้าแพรก หมายถึง ความเจริญงอกงามรวดเร็ว<br />
6. ฝักส้มป่อย หมายถึง การล้างโรคภัย<br />
7. ผิวมะกรูด หมายถึง ทำให้สะอาด<br />
8. ใบมะตูม หมายถึง เทพพรของพระเป็นเจ้าของศาสนาพราหมณ์ทั้งสาม คือ พระศิวะ<br />
พระนารายณ์ และพระพรหม<br />
<br />
<br />
เป็นไงครับ สิริและมงคล 8 (ภาคที่ 1) ติดตามกันต่อในบทความหน้า<a href="http://www.vinayak-vanich.blogspot.com/2012/01/8-8-02.html" target="_blank">(สิริและมงคล 8-02)</a><br />
ขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดปี 2012 นะครับ......<br />
<div>
<br /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-36960603316886351052011-12-31T08:00:00.000+07:002013-08-11T12:49:58.228+07:00Happy New Year 2012<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-8CZ0do0L42Y/Tv5eNlP2GdI/AAAAAAAAAn4/p2FttL2d-ZI/s1600/Ganesh+New+year.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-8CZ0do0L42Y/Tv5eNlP2GdI/AAAAAAAAAn4/p2FttL2d-ZI/s1600/Ganesh+New+year.jpg" /></a></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-75826059000192028562011-12-22T13:49:00.000+07:002013-08-16T18:10:55.716+07:00ตลาดร่มหุบ<div class="MsoNormal">
<span class="bold"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"> ตลาดร่มหุบ</span></b></span><span class="apple-converted-space"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">- </span></span><span class="bold"><b><span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC, serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">ตลาดแม่กลอง</span></b></span><span class="apple-converted-space"><span style="font-family: Arial, sans-serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"> </span></span><span class="apple-converted-space"><span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC, serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">หรือ</span></span><span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC, serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ตลาดเสี่ยงตาย” </span></span><span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">เป็นตลาดที่ติดอยู่กับ สถานีรถไฟแม่กลอง และก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาดเทศบาลจังหวัดสมุดสงคราม</span></span><span class="apple-converted-space"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"> </span></span><span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">ชื่อเต็มๆที่เป็นทางการ</span></span><br />
<span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><br /></span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-4O06lLLrh7o/TvLKlcxzK_I/AAAAAAAAAjQ/u0PZ9jr1NgU/s1600/MAEKLONG+STATION-01.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich" border="0" height="400" src="http://3.bp.blogspot.com/-4O06lLLrh7o/TvLKlcxzK_I/AAAAAAAAAjQ/u0PZ9jr1NgU/s400/MAEKLONG+STATION-01.jpg" title="vinayak-vanich" width="300" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">ของตลาดแห่งนี้ก็คือ<b>ตลาดราชพัสดุ กรมธนารักษ์</b> เริ่มมาตั้งขาย บริเวณทางริมรถไฟประมาณปี พ.ศ. </span></span><span class="apple-style-span"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">2527<span lang="TH"> ซึ่งเมื่อแรกสร้างเสร็จและเริ่มเปิดการค้าขายก็ดูจะเหมือนตลาดปรกติ แต่ในที่สุดพื้นที่ตลาดด้านในตัวอาคารเกิดความแออัดพื้นที่ไม่เพียงพอ พ่อค้าแม่ค้าจึงเริ่มขยายแผงค้าออกมาด้านริมทางรถไฟ และในที่สุดก็กางร่มกางผ้าใบปิดคลุมบนรางรถไฟโดยเปิดช่องกลางรางรถไฟให้เป็นทางเดินของผู้มาจับจ่ายข้าวของในตลาด</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif;"><span style="font-size: 21px; line-height: 24px;"><br />
</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"> ด้วยเป็นเส้นทางรถไฟสายสั้นๆที่ใช้กันในท้องถิ่นโดยวันหนึ่งๆจะมีขบวนรถไฟจากสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่วิ่งมาสถานีมหาชัยเป็นหลัก และมีรถไฟท้องถิ่นวิ่งให้บริการต่อมาถึงสถานีแม่กลองแห่งนี้วันละ </span></span><span class="apple-style-span"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">4 <span lang="TH">ขบวน ซึ่งเป็นขบวนสั้น ๆ มีพียง </span>2 <span lang="TH">ตู้โดยสารเท่านั้น แม่ค้าพ่อค้าจึงจับจองใช้ประโยชน์พื้นที่บนรางรถไฟทำมาค้าขายกันเป็นส่วนใหญ่ และปล่อยให้ขบวนรถไฟใช้ทางผ่านไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในแต่ละขบวน โดยพ่อค้าแม่ค้าในตลาดจะรู้เวลารถวิ่งผ่านเป็นอย่างดี</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif;"><span style="font-size: 21px; line-height: 24px;"><br />
</span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-s6SBdbjQAoo/TvLLno23EgI/AAAAAAAAAjo/cVSVFdfeS-U/s1600/MAEKLONG+STATION-03.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich" border="0" height="337" src="http://4.bp.blogspot.com/-s6SBdbjQAoo/TvLLno23EgI/AAAAAAAAAjo/cVSVFdfeS-U/s400/MAEKLONG+STATION-03.jpg" title="vinayak-vanich" width="400" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif;"><span style="font-size: 21px; line-height: 24px;"><br />
</span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"> </span></span></span><span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">โดยรถไฟจะผ่าน</span></span><span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">ตลาดร่มหุบเข้าจอดที่สถานีแม่กลองเวลา </span></span><span class="apple-style-span"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">08.30 <span lang="TH">น.</span>,11.10 <span lang="TH">น.</span>,14.30 <span lang="TH">น.และ</span>17.40 <span lang="TH">น.โดยประมาณ และออกจากสถานีแม่กลองเวลา </span>06.20 <span lang="TH">น.</span>,09.00 <span lang="TH">น.</span>,11.30 <span lang="TH">น. และ </span>15.30 <span lang="TH">น. </span></span></span><span class="apple-style-span" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH">ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่รถไฟแล่นมาใกล้จะถึงในชั่วไม่กี่อึดใจ พ่อค้าแม่ค้าก็จะรีบเก็บผ้าใบ หุบร่ม บางร้านก็เข็นดันแผงขายสินค้าที่ติดล้อเลื่อนเล็ก ๆ ไว้ด้านล่าง เลื่อนหลบเข้ามาให้พ้นจาก ขบวนรถไฟที่จะเคลื่อนผ่าน บางแผงที่วางสินค้าแบบแบกับพื้นดินติดชิดรางรถไฟก็ตั้งวางสินค้าอยู่เช่นนั้นโดยไม่เก็บ เพราะคำนวณความสูงของพื้นตู้รถไฟไว้แล้วว่าสูงพ้นและสามารถ </span></span><span class="apple-style-span" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH">เคลื่อนผ่านไปได้อย่างไม่มีปัญหา เรียกว่าพ่อค้าแม่ค้าที่นี่มีประสบการณ์ มีการคำนวณและการออกแบบดัดแปลงแผงค้าของตนให้พร้อมกับปฏิบัติการหลบหลีกการเคลื่อนผ่านของขบวนรถไฟไว้เป็นอย่างดี ซึ่งตอนที่ขบวนรถไฟเคลื่อนผ่านนั้น ก็วิ่งไปด้วยความเร็วปรกติ มิได้ค่อยๆคลานผ่านช้าๆแต่อย่างใด</span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"> </span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><br />
</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-Gace1qVdv-w/TvLOYDgT3RI/AAAAAAAAAkk/n5HJtWn66i0/s1600/MAEKLONG+STATION-04.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich" border="0" height="330" src="http://1.bp.blogspot.com/-Gace1qVdv-w/TvLOYDgT3RI/AAAAAAAAAkk/n5HJtWn66i0/s400/MAEKLONG+STATION-04.jpg" title="vinayak-vanich" width="400" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><br />
</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-mpL8ffzX4JA/TvLNRGUMqHI/AAAAAAAAAkM/UVZswLJTtMI/s1600/MAEKLONG+STATION-05.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="390" src="http://1.bp.blogspot.com/-mpL8ffzX4JA/TvLNRGUMqHI/AAAAAAAAAkM/UVZswLJTtMI/s400/MAEKLONG+STATION-05.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><br />
</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">และเมื่อ<span class="apple-style-span">ขบวนรถผ่านไปนั้น พ่อค้าแม่ค้าก็เริ่มกางร่ม กางผ้าใบ ดันแผงสินค้า</span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span class="apple-style-span">จัดวางสินค้าเข้าให้ที่เข้าทางจนเรียบร้อยเหมือนเดิมขายของกันอย่างเป็นปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผู้คนที่มาเดินจับจ่ายก็รอให้รถไฟผ่านเสร็จก็เลือกซื้อของที่ค้างอยู่เมือนาทีที่แล้ว ใช่ครับ กิจกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นและเป็นไปภายในเวลาไม่ถึง </span></span><span class="apple-style-span" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">1 <span lang="TH">นาทีด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อตลาดร่มหุบ และที่มาของความเป็นตลาดที่มีความพิสดารจนมีชื่อดังไปทั่ว</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br />
</span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-kWO27L7fgXo/TvLQEz8Le5I/AAAAAAAAAkw/1tMlRbHHbsc/s1600/MAEKLONG+STATION-26.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://2.bp.blogspot.com/-kWO27L7fgXo/TvLQEz8Le5I/AAAAAAAAAkw/1tMlRbHHbsc/s400/MAEKLONG+STATION-26.jpg" width="362" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br />
</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"> และเมื่อมาเยือนตลาดแม่กลอง หรือตลาดร่มหุบ แล้วก็อย่าลืมซื้อปลาทูแม่กลองของแท้ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากด้วยนะครับ</span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"> <span class="apple-style-span">โดยปลาทูแม่กลองของแท้นั้นต้องตัวไม่โตนักและมีลักษณะลำตัวสั้นป้อมเป็นปลา </span></span><span class="apple-style-span"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">“<span lang="TH">หน้างอคอหัก</span>” <span lang="TH">เพราะปลาทูแม่กลองนั้นเขานิยมหักคอให้หัวปลางอเข้ากับรูปทรงของเข่งที่มีพื้นที่จำกัด และท่านจะได้พบเห็นสินค้าอื่นๆอีกมากมายที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบในท้องถิ่นนั้นๆด้วยครับ</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br />
</span></span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-BrPefh1331k/TvLQPT1MT2I/AAAAAAAAAk8/65rgbDYKv-g/s1600/MAEKLONG+STATION-08.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://4.bp.blogspot.com/-BrPefh1331k/TvLQPT1MT2I/AAAAAAAAAk8/65rgbDYKv-g/s400/MAEKLONG+STATION-08.jpg" width="361" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span class="apple-style-span"><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br />
</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif;"><span style="font-size: 21px; line-height: 24px;"><br />
</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt; text-align: center;"><b>การเดินทางไปตลาดร่มหุบ</b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0.0001pt;">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"> <b>1. <span lang="TH">รถส่วนตัว</span></b> <span lang="TH">จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข </span>35 <span lang="TH">ถนนพระราม </span>2 (<span lang="TH">ถนนธนบุรี-ปากท่อ เดิม)</span> <span lang="TH">ไปถึงหลัก กม.ที่ </span>63 <span lang="TH">ชิดซ้าย ใช้ทางคู่ขนานต่างระดับ เข้าตัวเมืองสมุทรสงครามถึงสี่แยกแรกตรง </span> <span lang="TH">ไปเข้าตัวตลาดถึงสี่แยกที่สอง(แยก โรงพยาบาล สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า) เลี้ยวขวาและตรงไป</span> <span lang="TH">ข้ามทางรถไฟ ก็จะถึง ตลาดแม่กลอง หรือตลาดรถไฟ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0.0001pt;">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"> <b>2. </b></span><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">รถไฟ</span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"> </span></b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">รถไฟไปแม่กลอง จะเริ่มจากวงเวียนใหญ่ (นั่งจากหัวลำโพงไม่ได้) โดยไปลงที่มหาชัย</span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">และจากมหาชัยนั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งท่าฉลอม เพื่อขึ้นรถไฟต่อจากสถานีบ้านแหลมไปยังแม่กลอง</span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">(</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">ปลายทาง)ใช้เวลาเดินทางประมาณ </span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">1 </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">ชั่วโมง ค่าโดยสาร </span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">10</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">บาท(ตอนนี้ฟรี) ถ้าคุณอยู่ที่โบกี้สุด</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">ท้าย แล้วมองผ่านกระจกหลังรถออกไป เวลาผ่าน ตลาด พอรถไฟผ่านไป พ่อค้าแม่ค้าก็จะกลับมา</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">ตั้งร้านเหมือนเดิม ชนิดไล่หลังรถไฟกันเลยทีเดียว</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"> <b>3.<span lang="TH">รถประจำทาง</span></b>,<span lang="TH">รถตู้</span> <span lang="TH">บริษัท ขนส่ง จำกัด เปิดบริการเดินรถกรุงเทพฯ-สมุทรสงคราม ลงที่ตลาด</span><span lang="TH">แม่กลองได้เลย โดยมีรถจากสถานี ขนส่งสายใต้ ตั้งแต่เวลา </span>05.50-21.00 <span lang="TH">หรือนั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัย สายแม่กลอง มีรถออก ทุกชั่วโมง ไปลงที่ตลาดแม่กลอง</span></span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"><span lang="TH"><br />
</span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-XIZpyiFOp_Q/TvLQr8XboZI/AAAAAAAAAlI/3ILV2GezpsI/s1600/MAEKLONG+STATION-02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="280" src="http://2.bp.blogspot.com/-XIZpyiFOp_Q/TvLQr8XboZI/AAAAAAAAAlI/3ILV2GezpsI/s400/MAEKLONG+STATION-02.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><br />
</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><br />
</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"> ส่วนท่านผู้อ่านที่เดินทางโดยรถส่วนตัว<span class="apple-style-span">ก็สามารถจะจอดรถไว้ที่ลานจอดรถหน้าวัดเพชรสมุทรวรวิหารหรือ<a href="http://www.vinayak-vanich.blogspot.com/2011/01/blog-post.html" target="_blank">วัดหลวงพ่อบ้านแหลม</a>ที่อยู่ใกล้ๆ เข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อวัดบ้านแหลมพระพุทธรูปสำคัญของเมืองสมุทรสงคราม</span> แล้วค่อยเดินมาที่ตัวตลาดซึ่งใช้เวลาเดินเพียงประมาณ 5 นาที .... ขอให้สนุกในการเดินทางนะครับ</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">(รูปภาพเพิ่มเติม <a href="https://picasaweb.google.com/vinayak.vanich/MAEKLONGSTATION?authuser=0&feat=directlink" target="_blank">คลิ๊ก</a>)<o:p></o:p></span></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-63636226119958733242011-07-21T18:18:00.002+07:002013-08-11T12:43:01.566+07:00ค่ายจีนบางกุ้งกับโบสถ์ปรกโพธิ์ เมื่อย้อนไปในยุคสมัยอยุธยา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพเรือ มาตั้งค่ายที่ค่ายบางกุ้ง เรียกว่า "ค่ายบางกุ้ง" โดยสร้างกำแพงล้อมและให้วัดบางกุ้งอยู่กลางค่าย เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่เคารพบูชาของทหาร ภายหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ค่ายบางกุ้งก็ร้างไปจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานีจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีนจาก ระยอง ชลบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรีรวบ รวมผู้คนมาตั้งกองทหารรักษาค่าย จึงมีชื่อเรียกอีกหนึ่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" ในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรีมาล้อม<b>ค่ายจีนบางกุ้ง </b>สมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหามนตรี (บุญมา) เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเหลือทหารจีนขับไล่กองทัพ พม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย หลังจากนั้นค่ายบางกุ้งแห่งนี้ก็ถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 200 ปี<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-9ofBZtVP9WU/TigISbrieCI/AAAAAAAAAhQ/yxiTDvCPyJE/s1600/BANG+KRUNG-02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-9ofBZtVP9WU/TigISbrieCI/AAAAAAAAAhQ/yxiTDvCPyJE/s320/BANG+KRUNG-02.jpg" t="" true="" width="240" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-TksAWficiUw/TigJdrD5qdI/AAAAAAAAAhY/1OnfsNlfxHY/s1600/BANG+KRUNG-04.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://1.bp.blogspot.com/-TksAWficiUw/TigJdrD5qdI/AAAAAAAAAhY/1OnfsNlfxHY/s320/BANG+KRUNG-04.jpg" t="" true="" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-Abfknt7qFM0/TigJDaLS3AI/AAAAAAAAAhU/Urc484QHYiM/s1600/BANG+KRUNG-05.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/-Abfknt7qFM0/TigJDaLS3AI/AAAAAAAAAhU/Urc484QHYiM/s320/BANG+KRUNG-05.jpg" t="" true="" width="313" /></a></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br /></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br />
ภายในบริเวณโบสถ์ที่สร้าง ประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปั้นขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อโบสถ์น้อย” (หลวงพ่อนิลมณี) และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ เป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในซุ้มขนาบข้างด้วยอัครสาวกนั่งพนมมือ และอีกประการหนึ่งคือ โบสถ์หลังนี้ทั้งหลังปกคลุมด้วยด้วยรากต้นไม้ถึงสี่ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร ต้นกร่าง มองจากภายนอกคิดว่าเป็นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ มากกว่ามีโบสถ์อยู่ข้างใน รากไม้เหล่านี้ช่วยให้โบสถ์คงรูปอยู่ได้ ทั้งยังให้ความขรึมขลังอีกด้วย ชาวบ้านเลยเรียกขานกันอีกชื่อหนึ่งว่า “โบสถ์ปรกโพธิ์”และไม่ไกลจากตัวโบสถ์นักก็เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-lN9r-lTsBw0/TigKMm_T0cI/AAAAAAAAAhc/vVUfFYHjHaU/s1600/BANG+KRUNG-06.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-lN9r-lTsBw0/TigKMm_T0cI/AAAAAAAAAhc/vVUfFYHjHaU/s320/BANG+KRUNG-06.jpg" t="" true="" width="297" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-bjZo7nCJQOw/TigKVpC2FLI/AAAAAAAAAhg/dQaaMbLcmt8/s1600/BANG+KRUNG-07.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/-bjZo7nCJQOw/TigKVpC2FLI/AAAAAAAAAhg/dQaaMbLcmt8/s320/BANG+KRUNG-07.jpg" t="" true="" width="218" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
นี่แหละครับมนต์เสน่ห์ของวัดบางกุ้ง วัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา แถมยังจะมี สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้อย่างอื่นอีกได้แก่ คัมภีร์โบราณ ส่วนมากจะเป็นตำรายาโบราณ และบริเวณหน้าวัดด้านที่ติดกับแม่น้ำแม่กลอง จะมีปลาน้ำจืดต่างๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จนได้ชื่อว่า "วังมัจฉา" และสุดท้ายก็เป็นเรื่อง พิสดารมากความศักดิ์สิทธิ์ของศาลองค์หญิงมณฑาทิพย์ (จันทร์เจ้า) ที่เป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั่วไป ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนอย่างไรมาบนบานในสิ่งที่ต้องการมักไม่ผิดหวัง เป็นต้นว่าเรื่องหน้าที่การงาน การสอบเข้างาน การสอบเรียน และทางด้านโชคลาภ มีคนได้เลขไปเสี่ยงโชคแล้วรวยมีปรากฎอยู่เสมอ แต่อย่าบนเรื่องเกณฑ์ทหารนะใครไปบนให้ช่วยแน่นอนรับรองถูกชัวร์ เพราะท่านชอบทหารที่มีเลือดนักสู้เต็มตัวเมื่อมีชีวิตอยู่ ...<br />
<br />
<b>ข้อมูลการเดินทางไปวัดบางกุ้ง</b><br />
<b>1.ทางรถยนต์</b> จากตัวเมืองสมุทรสงคราม ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 325 (แม่กลอง-อัมพวา) ประมาณ 5 กม. เลยวัดบางกะพ้อม (ยังไม่ถึงตลาดอัมพวา) ให้สังเกตทางแยกซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง (สะพานสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์) ตรงไปถึง ถึงสามแยกเลี้ยวขวา ตรงไปผ่านวัดภุมรินทร์ จนถึงสามแยก (มีวัดบางแคใหญ่อยู่ขวามือ) เลี้ยวขวา ตรงไปผ่านวัดบางแคน้อย วัดปากน้ำ ข้ามสะพานคลองแควอ้อมสังเกต ค่ายบางกุ้งอยู่ซ้ายมือ จะเห็นแนวกำแพงของค่าย<br />
<b> 2.รถประจำทา</b>ง จากตัวเมืองสมุทรสงครามนั่งรถโดยสองแถวสายแม่กลอง-วัดปราโมทย์ คิวรถอยู่บริเวณธนาคารนครหลวงไทย สาขาสมุทรสงคราม รถจะวิ่งผ่านค่าย นะครับ<br />
ขอให้สนุกกับการเดินทาง ...<br />
(ถ้าต้องการดูภาพของโบสถ์ปรกโพธิ์ก็<a href="https://picasaweb.google.com/vinayak.vanich/BANGKRUNG?authuser=0&feat=directlink" target="_blank"> คลิ๊ก </a>ที่นี่ได้เลยครับ)Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-72353160248913662292011-02-14T12:41:00.000+07:002013-08-11T12:36:10.595+07:00หมอชีวกโกมารภัจจ์ เอตทัคคะ ในด้านเป็นที่รักของปวงชน ท่านทั้งหลายเคยปวดเมื่อยกันมั๊ยครับ แน่นนอนว่าต้องเคยกันทุกๆคน ในเมืองไทยเมื่อเกิดอาการเช่นนี้มักจะนึกถึง หมอนวดแผนโบราณ ที่ปัจจุบันมีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยเฉพาะที่วัดโพธิ์ ที่ๆชาวต่างประเทศข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนวิชานวดแผนโบราณกันที่นี่ และเมื่อเราไปใช้บริการนวดแผนโบราณนี้ หลายๆแห่งมักจะมี รูป ท่านปู่ชีวกและบางที่ก็จะมีรูปปู่ฤาษีตั้งไว้คู่กัน ในบทความนี้ผมขอนำประวัติ ท่านปู่ชีวกซึ่งในวงการแพทย์แผนโบราณในปัจจุบันนี้ ถือว่า<b>หมอชีวกโกมารภัจจ์</b>เป็น บรมครุแห่งการแพทย์แผนโบราณ เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป<br />
<br />
<span id="goog_1201632206"></span><span id="goog_1201632207"></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-XBMQUykBnJ4/TVi_4TCMyjI/AAAAAAAAAe8/zmFGrgWN2U0/s1600/She-vok-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" h5="true" height="400" src="http://1.bp.blogspot.com/-XBMQUykBnJ4/TVi_4TCMyjI/AAAAAAAAAe8/zmFGrgWN2U0/s400/She-vok-01.jpg" width="368" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุตรของนางสาลวดี นครโสเภณีประจำเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ในสมัยนั้นตำแหน่งนี้มีเกียรติยศต่างจากในสมัยนี้ นางสาลวดีตั้งครรภ์โดยบังเอิญ เมื่อคลอดบุตรชายออกมาจึงสั่งให้สาวใช้นำไปทิ้ง แต่อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบเข้า จึงนำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ชื่อ ชีวก ตั้งขึ้นตามคำกราบทูลตอบคำถามของพระองค์ที่ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า มหาดเล็กกราบทูลว่า ยังมีชีวิตอยู่(ชีวโก)ส่วนคำว่า โกมารภัจจ์ แปลว่า กุมารที่ได้รับการเลี้ยงดู หรือ กุมารในราชสำนัก หมายถึง บุตรบุญธรรม นั่นเอง<br />
<br />
เมื่อเติบโตขึ้นชีวกถูกพวกเด็ก ๆ ในวังล้อเลียนว่า เจ้าลูกไม่มีพ่อ ด้วยความมานะ จึงหนีพระบิดาไปเรียนศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา เพื่อเอาชนะคำดูหมิ่นวิชาที่เลือกเรียนคือวิชาแพทย์ แต่เนื่องจากไม่มีค่าเล่าเรียน จึงอาสารับใช้พระอาจารย์ เมื่อเรียนอยู่ถึง 7 ปี จึงลาอาจารย์กลับบ้าน ระหว่างทางอาจารย์ให้ไปหาต้นไม้ที่ทำยาไม่ได้ ให้เก็บตัวอย่างมาให้ดู ปรากฏว่ากลับมามือเปล่า เพราะต้นไม้ทุกต้นใช้ทำยาได้ อาจารย์บอกว่าเขาได้เรียนจบแล้ว จึงอนุญาตให้กลับได้ หลังจากกลับเมืองมาแล้ว ได้รักษาพระเจ้าพิมพ์พิสารให้หายขาดจากภคันทลาพาธ (โรคริดสีดวงทวาร)ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวง และได้รับพระราชทานสวนมะม่วง แต่ต่อมาหมอชีวกก็ได้ถวายสวนนี้ให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย และได้ถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์อีกด้วย<br />
<br />
ด้วยความที่เป็นคนบำเพ็ญแต่สิ่งที่ดีงาม ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ไม่เลือฐานะ จึงได้รับการยกย่องากพระพุทธเจ้าว่าเป็น<b>เอตทัคคะ ในด้าน เป็นที่รักของปวงชน</b><br />
<br />
ถ้าต้องการประวัติของหมอชีวกโกมารภัจจ์เพิ่มเติมไปที่นี่ต่อนะครับ<br />
สารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน<br />
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/ubasok_hist/ubasok-cheevaka-komarapaj.htmAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-43543345406512160912011-02-09T14:39:00.001+07:002013-08-11T12:36:10.593+07:00พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ -ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อโต สวัสดีเช่นเคยครับ แล้วเราก็มาถึงประวัติของหนึ่งใน พระห้าพี่น้อง<a href="http://www.vinayak-vanich.blogspot.com/2010/12/01.html" target="_blank">(พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์)</a> ที่พร้อมใจกันลอยน้ำมาจากทางเหนือนั้นองค์สุดท้ายซึ่ง มีอยู่องค์เดียวที่มิได้มีพระนามตามชื่อวัด หรือตามชื่อของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเป็นผู้พบเห็นครั้งแรก แต่พระนามของท่านนั้น ชาวบ้านขนานนามตามพุทธลักษณะของท่านที่มีองค์ใหญ่โตว่า "หลวงพ่อโต" ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TVJEKaPerkI/AAAAAAAAAeE/Y0BiX27ml8Q/s1600/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259E-%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2595-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" h5="true" height="640" src="http://3.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TVJEKaPerkI/AAAAAAAAAeE/Y0BiX27ml8Q/s640/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259E-%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2595-01.jpg" width="472" /></a></div>
<br />
<span style="font-size: large;">ประวัติความเป็นมา</span> <br />
หลวงพ่อโตได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วลอยเข้ามาในลำคลองสำโรง ผู้พบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ จึงพากันอาราธนาหลวงพ่อขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ฉุดดึงเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ท่านไม่ยอมขึ้น มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งคงไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยมาตามลำน้ำสำโรง และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอแสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องต้องกันดังนั้นแล้วก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือ ปัจจุบันนี้คือ วัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง ฝีพายพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างก้มลงกราบนมัสการด้วยความเคารพสักการะ แล้วพร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด" และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนัก ก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่าน และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานในพระวิหาร ซึ่งต้องชะลอท่านขึ้นข้ามฝาผนังวิหาร เพราะขณะนั้นหลังคาพระวิหารยังไม่มี และประตูวิหารก็เล็กมาก ต่อจากนั้นท่านจึงได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน <br />
<br />
<span style="font-size: large;">พุทธลักษณะ</span> <br />
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย(สะดุ้งมาร) หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ ความที่องค์ของท่านใหญ่โตมาก เพราะหน้าตักกว้างถึง 3 ศอก 1 คืบ ชาวบ้านจึงขนานนามท่านว่า"หลวงพ่อโต" <br />
<br />
<span style="font-size: large;">อัศจรรย์หลวงพ่อโต</span><br />
เมื่อครั้งที่ท่านยังประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่าบางวันที่เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากหลวงพ่อโต บางคราวพระภิกษุสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายชรารูปร่างสง่างาม มีรัศมีเปล่งปลั่ง นุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน <br />
<br />
<span style="font-size: large;">แสดงปาฏิหาริย์!! </span><br />
เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะอาราธนาหลวงพ่อเข้าไปประดิษฐานภายในพระอุโบสถ ได้วัดองค์ท่านกับช่องประตูพระอุโบสถ ช่องประตูใหญ่กว่าองค์ท่านประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งสามารถนำท่านชะลอผ่านประตูเข้าไปได้สบายมาก ครั้นเวลาอาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถจริงๆ กลับปรากฏว่า องค์หลวงพ่อใหญ่กว่าช่องประตูมาก จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถนำท่านผ่านประตูเข้าไปได้ คณะกรรมการและประชาชนทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็พากันตกใจ ให้ความเห็นว่าต้องทุบช่องประตูออกเสียให้กว้าง เมื่อนำหลวงพ่อเข้าไปแล้วค่อยทำประตูกันใหม่ แต่บางท่านให้ความเห็นว่าหลวงพ่อโตคงจะแสดงอภินิหารให้ทุกคนได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็ได้ ดังนั้นจึงพร้อมใจกันจุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานขอให้หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบต่อไป เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็อาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่ประตูพระอุโบสถใหม่ คราวนี้ทุกคนก็ต้องแปลกใจที่องค์หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้อย่างง่ายดาย โดยมีช่องว่างระหว่างองค์หลวงพ่อกับประตูพระอุโบสถเสียอีก นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ในอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตยิ่งนัก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2520 หลวงพ่อได้กระทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่องค์ท่านซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ เกิดนุ่มนิ่มไปหมดทั้งองค์ดังเนื้อมนุษย์ และในปี 2522 ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง<br />
<br />
<span style="font-size: large;">บนบานศาลกล่าว</span> <br />
ผู้คนที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต่างๆนานา มักจะมากราบไหว้บนบานศาลกล่าวอธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตช่วยให้สมปรารถนา เมื่อสำเร็จผลแล้ว มักจะนำใบลานที่สานเป็นปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองมาถวายเป็นการแก้บน สาเหตุที่ใช้ปลาตะเพียนนั้น เพราะเชื่อกันว่าเป็นปลาคู่บารมีของหลวงพ่อ มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตที่ข้างวิหารมีสระน้ำย่อมๆอยู่สระหนึ่ง บางคราวจะมีปลาเงินปลาทอง หรือปลาตะเพียนเงิน ปลาตะเพียนทองขนาดใหญ่ 2 ตัว ปรากฏให้เห็นลอยเล่นน้ำอยู่คู่กันในสระ ซึ่งในสระนั้นไม่เคยมีปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองมาก่อนเลย!! ส่วนเรื่องที่ห้ามบนบานเด็ดขาดก็คือ การขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อ(ทอง)วัดเขาตะเครา เพราะผู้ที่บนในเรื่องดังกล่าว จะต้องถูกเกณฑ์ทหารทุกราย<br />
<br />
<span style="font-size: large;">งานนมัสการหลวงพ่อโต</span> <br />
ทางวัดได้จัดให้มีงานสมโภชปีละ 3 ครั้ง คือ <br />
- งานปิดทองฝ่าพระพุทธบาทและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 3 <br />
- งานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 4 <br />
- งานประเพณีรับบัวและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 11 ค่ำ ถึง วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 มีการจัดขบวนเรือแห่แหนหลวงพ่อโต(จำลอง)ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อรับดอกบัวที่ผู้คนถวายเป็นพุทธบูชา <br />
นอกจากนี้ในวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีจะมีงานทำบุญฉลองที่หลวงพ่อโตแสดงปาฏิหาริย์ให้องค์หลวงพ่อนิ่มเหมือนเนื้อของมนุษย์ <br />
<br />
หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปและชาวบางพลี รวมทั้งเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ใน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-75374061827840150312011-02-08T12:28:00.001+07:002013-08-11T12:36:10.598+07:00พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ -ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อทอง สวัสดีครับ ผ่านมาแล้ว 3 องค์ สำหรับ <a href="http://www.vinayak-vanich.blogspot.com/2010/12/01.html" target="_blank">พระห้าพี่น้องลอยน้ำ</a> ในบทความความนี้ขอกล่าวถึง ประวัติของพระองค์ที่ 4 ที่เป็น พระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยองค์เล็กขนาดหน้าตักกว้างเพียง 21 นิ้ว ซึ่งลอยน้ำมาจากทางเหนือ (พร้อมพระพี่น้องอีก 4 องค์)ได้ขึ้นประดิษฐานอยู่ ณ วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวในจำนวน 5 องค์พี่น้อง ที่มีแผ่นทองคำเปลวปิดหุ้มอยู่หนามากจนแลไม่เห็นความงามตามพุทธลักษณะเดิม <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TVDT-k9F2AI/AAAAAAAAAeA/cAQ_LskeWfM/s1600/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259E-%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" h5="true" height="400" src="http://4.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TVDT-k9F2AI/AAAAAAAAAeA/cAQ_LskeWfM/s400/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259E-%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-01.jpg" width="315" /></a></div>
<br />
<span style="font-size: large;">ประวัติความเป็นมา</span> <br />
ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในประวัติของหลวงพ่อบ้านแหลม(ธรรมลีลา ฉ.9 ส.ค.44) ว่า ชาวบ้านแหลมซึ่งอยู่ปากอ่าวจังหวัดเพชรบุรี ได้พากันมาจับปลาในทะเล ขณะที่ลากอวนอยู่นั้นได้ลากพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยติดอวนขึ้นมาองค์หนึ่ง ในระหว่างทางกลับ ก็ได้พบพระพุทธรูปยืน(หลวงพ่อบ้านแหลม) ลอยปริ่มๆน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงอาราธนาขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่ง แต่เกิดอาเพทฝนตกหนัก ลมพายุพัดจัด เรือลำที่พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่นั้น ทนคลื่นลมไม่ไหว จึงเอียงวูบไป พระพุทธรูปที่อยู่บนเรือจึงเคลื่อนตกจมหายไปในแม่น้ำ ชาวบ้านแหลมพากันตกใจและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ต่างช่วยกันดำน้ำค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่พบ จึงตกลงว่าไม่ค้นหากันต่อไปอีก จึงนำพระพุทธรูปองค์นั่งที่เหลืออยู่บนเรืออีกลำหนึ่งไปยังถิ่นของตน และนำพระพุทธรูปองค์นั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่พ.ศ.2302 เป็นต้นมา และเรียกขานกันว่าหลวงพ่อเขาตะเครา หลวงพ่อเขาตะเครา ได้รับการเรียกขานนามใหม่คือ "หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา" สาเหตุมาจากมีช่างภาพคนหนึ่งต้องการถ่ายภาพหลวงพ่อ แต่ความที่องค์หลวงพ่อมีทองปิดทับอยู่หนามากจนแลไม่เห็นพุทธลักษณะเดิม ช่างภาพคนนี้จึงไปแกะทองที่ตาหลวงพ่อออกโดยมิได้บอกล่าวและขออนุญาต หลังจากนั้นไม่กี่วันช่างภาพคนนี้ก็มีอาการหูตาบวมเป่ง จึงต้องมากราบขอขมาหลวงพ่อ อาการจึงหายไป <br />
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องหลวงพ่อ จนกระทั่งทองปิดองค์ท่านทับถมกันมากขึ้นทุกวันๆ ชาวบ้านที่มานมัสการจึงเติมคำว่า"ทอง" ไปในการเรียกขาน จึงกลายมาเป็นหลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา <br />
<br />
<span style="font-size: large;">พุทธลักษณะ </span><br />
หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย สูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว แต่เนื่องจากทองที่ปิดองค์พระพุทธรูปนั้นหนามาก จนทำให้ไม่เห็นองค์เดิมว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือปูนปั้น แต่จากหลักฐานที่"สุนทรภู่" กวีเอกของไทย ได้เขียนไว้ในนิราศเมืองเพชร คราวที่ได้ไปแวะไหว้หลวงพ่อ(ทอง)วัดเขาตะเครา ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า หลวงพ่อฯเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ ดังความว่า <br />
"ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท <br />
มีอาวาสวัดวามหาเถร <br />
มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ <br />
พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ <br />
กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้ <br />
จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์อธิษฐาน <br />
เขานับถือลืออยู่แต่บูราณ <br />
ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน" <br />
<br />
<span style="font-size: large;">ความศักดิ์สิทธิ์ </span><br />
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนั้น เป็นที่โจษขานกันมาแต่โบราณ แม้กระทั่งตอนที่หลวงพ่อจะประทานทองที่องค์ท่านให้นั้น มีผู้เล่าว่า ได้เห็นไฟลุกท่วมองค์ท่านเป็นประกายรัศมีออกมา ทองที่หุ้มองค์ท่านค่อยๆไหลหลุดลอกออกบางส่วน ดูน่าอัศจรรย์ และเมื่อนำทองที่ไหลลอกมาไปชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าได้ถึง 9.9 กิโลกรัม! ทำให้ได้แลเห็นพระพักตร์ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีทองปิดหนามากจนองค์ท่านกลมทีเดียว! นอกจากนั้นยังมีผู้เล่าว่า มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านแหลม ทำไร่ทำนาจนหมดเนื้อหมดตัว จึงคิดจะไปทำมาค้าขายทางใต้ ได้มาไหว้หลวงพ่ออธิษฐานขอให้ช่วยค้าขายร่ำรวยแล้วจะกลับมาบวชชีแก้บน 15 วัน ปรากฏว่าหญิงคนนั้นค้าขายจนร่ำรวย แต่มิได้กลับมาแก้บนตามที่อธิษฐานไว้ ทำให้มีอาการป่วยหนัก จนกระทั่งผลสุดท้ายต้องกลับมาบวชชีที่วัดเขาตะเครา จึงหายป่วย อีกเรื่องหนึ่งคือมีเรือประมงลำหนึ่งถูกมรสุมอัปปางลง ลูกเรือ 11 คนเสียชีวิต รอดมาเพียง 2 คน เพราะมีพระกริ่งและแหวนจำลองของหลวงพ่อฯ ทั้งสองคนนี้จึงบนตัวบวชให้หลวงพ่อตั้งแต่นั้นมา และมีอยู่ครั้งหนึ่งขบวนทอดผ้าป่ามาทำบุญที่วัดเขาตะเครา ตอนกลับจากวัดเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำกลางทาง คนโดยสารทั้ง70กว่าคนเพียงแค่ฟกช้ำดำเขียวเท่านั้น และมีอยู่คนหนึ่งที่เช่าพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อฯแล้วอุ้มองค์ท่านอยู่ คนนี้ไม่ได้รับอันตรายใดๆแม้แต่นิดเดียว!<br />
<br />
<span style="font-size: large;">บนบานศาลกล่าว</span><br />
การบนบานศาลกล่าวเพื่อขอพรหลวงพ่อให้ช่วยดลบันดาลในเรื่องราวต่างๆนั้นมักจะสมปรารถนาเสมอ สุนทรภู่เองก็ทราบกิตติศัพท์นี้จึงได้อธิษฐานขอพรจากหลวงพ่อ ดังนี้ <br />
"ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์ <br />
ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน <br />
ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดาร <br />
ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง" <br />
สิ่งที่ห้ามบนก็คือ ขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธรและหลวงพ่อบ้านแหลมนั่นเอง เพราะถ้าบนอย่างนี้ จะต้องเป็นทหารทุกราย! ส่วนการแก้บนนั้น สิ่งของที่นิยมนำมาแก้บนที่ทำกันต่อๆมานั้น ถ้าดูในสมัยก่อนจากคำอธิษฐานดังกล่าวของสุนทรภู่ ว่าถ้าสมหวังในเรื่องที่ขอไว้ สุนทรภู่จะถวายละคร พร้อมทั้งเทียนเงินทองและของเสวยตามที่มีผู้กระทำกันมา<br />
"แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง <br />
จะแต่งตั้งบายศรีมีละคร <br />
ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย <br />
เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร" <br />
จากคำบอกเล่าของผู้คนที่วัดเขาตะเคราบอกว่า การแก้บนก็แล้วแต่สิ่งของที่บนไว้ ซึ่งก็มีทั้งละคร ข่าวปลาอาหาร ประทัด เป็นต้น แต่หากต้องการให้ได้ผลสมปรารถนาเร็ว ต้องบนตัวบวช ไม่ว่าจะเป็นบวชพระ บวชเณร บวชชี บวชชีพราหมณ์ บวชเนกขัมมะ ผู้ที่บนตัวบวชนี้จะได้ผลสมหวังทุกราย <br />
<br />
ทุกวันนี้<b>หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา</b>ยังคงเป็นที่พึ่งทางใจให้กับชาวเมืองเพชรและผู้คนมากมายที่เดินทางมากราบไหว้หรือแม้แต่ระลึกถึงท่านอยู่เสมอๆAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-87236072379820188162011-01-24T12:40:00.001+07:002013-08-15T20:39:04.541+07:00พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ -ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อไร่ขิง<strong><span style="font-size: large;">ประวัติความเป็นมา</span></strong><br />
พ่อวัดไร่ขิงนั้น มีตำนานเรื่องหนึ่งที่เล่าสืบกันมา พอเป็นเค้า แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดนักว่า ในสมัยที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก) ดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมราชานุวัตร ในปี 2394 นั้น ท่านได้รับโปรดเกล้าฯให้ขึ้นไปครองวัดศาลาปูนวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าคณะใหญ่กรุงเก่า วันหนึ่งท่านได้ลงไปที่วัดไร่ขิง เมื่อท่านเข้าไปในพระอุโบสถกราบพระประธานแล้ว ท่านก็ได้สนทนากับเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงว่า โบสถ์ใหญ่โต แต่พระประธานเล็กไปหน่อย เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงกราบเรียนท่านว่า วัดไร่ขิงเป็นวัดจนๆ ไม่สามารถสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆได้ เมื่อทราบดังนั้นท่านจึงบอกว่าที่วัดของท่านมีอยู่องค์หนึ่งให้เจ้าอาวาสไปอัญเชิญมาได้ เมื่อสมเด็จฯกลับไปแล้วไม่นาน เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงพร้อมทั้งกรรมการวัดได้เดินทางไปยังวัดศาลาปูน และอัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าวลงแพที่ใช้ไม้ไผ่มัดล่องลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา เข้าแม่น้ำนครชัยศรี จนกระทั่งถึงวัดไร่ขิง ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถแทนองค์เดิมตั้งแต่นั้นมา และขนานนามพระพุทธรูปองค์ใหม่นี้ตามนามของวัดว่า'หลวงพ่อไร่ขิง' เหตุอัศจรรย์ ในวันที่ชาวบ้านทำพิธีอัญเชิญหลวงพ่อขึ้นจากแพไม้ไผ่ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดี จึงมีชาวบ้านมาร่วมเป็นจำนวนมาก ขณะที่กำลังอัญเชิญหลวงพ่อขึ้นจากแพสู่ปะรำพิธีนั้น ได้เกิดเหตุการณ์เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะแสงแดดที่แผดจ้าพลันหายไป บังเกิดเป็นเมฆดำทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนองกึกก้อง ฝนโปรยปรายลงมา ยังความฉ่ำเย็นกันทั่วหน้า ทุกคนในที่นั้นเกิดความปีติโสมนัส ยิ่งนัก พากันอธิษฐานเป็นเสียเดียวกันว่า"หลวงพ่อจักทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหาร ฉะนั้น" และนับตั้งแต่ที่หลวงพ่อมาประดิษฐานที่วัดไร่ขิง ก็มีประชาชนพากันมาเคารพสักการะมิได้ขาด โดยเฉพาะวันหยุดและวันนักขัตฤกษ์ อุโบสถของหลวงพ่อจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ที่ได้ยินได้ฟังและได้ประสบในความศักดิ์สิทธิ์ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TT0QO0txp6I/AAAAAAAAAd4/1iqW_u9bHMU/s1600/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259E-%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" height="640" s5="true" src="http://2.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TT0QO0txp6I/AAAAAAAAAd4/1iqW_u9bHMU/s640/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259E-%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587-01.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="478" /></a></div>
<br />
<strong><span style="font-size: large;">พุทธลักษณะ</span> </strong><br />
หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสัมฤทธิ์ประทับนั่งปางมารวิชัยแบบประยุกต์ พระรูปมีลักษณะผึ่งผายคล้ายเชียงแสน พระหัตถ์เรียวงามตามแบบสุโขทัย แต่เฉพาะพระพักตร์ดูคล้ายรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานเหนือฐานชุกชี มีขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้ว สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ <br />
<br />
<strong><span style="font-size: large;">ความศักดิ์สิทธิ์</span></strong> <br />
เรื่องราวเกี่ยวกับอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดไร่ขิง มีผู้คนเล่าไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางด้านแคล้วคลาด ทางด้านเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ เช่น เรื่องของหญิงวัยกลางคนซึ่งถูกฟ้าผ่ากลางท้องนา แต่ไม่ตาย ทั้งๆที่หมอที่รับรักษาบอกว่าถ้าโดนอย่างนี้ไม่เคยมีรอดสักรายเดียว ทั้งนี้เพราะห้อยเหรียญรูปหลวงพ่อนั่นเอง หรือเรื่องของสุภาพสตรีท่านหนึ่งอยู่ที่อเมริกา มีอาการชาที่ริมฝีปาก รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ญาติพี่น้องทางเมืองไทย ซึ่งนับถือหลวงพ่อวัดไร่ขิง จึงได้ส่งพระรูปจำลององค์เล็กๆไปให้ บอกว่าให้อธิษฐานจิตขอให้หลวงพ่อ ช่วย สุภาพสตรีท่านนี้ก็ทำตาม คืนหนึ่งเธอฝันเห็นหลวงพ่อ คิดว่าท่านได้มาช่วยแล้ว ในที่สุดก็หายจากโรคดังกล่าว และได้ส่งเงินมาถวายร่วมสร้างโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง)เป็นจำนวนมาก และยังมีเรื่องของชายคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากโจรปล้นรถ เพราะขณะที่กำลังอยู่ในนาทีวิกฤตนั้นเขานึกถึงหลวงพ่อวัดไร่ขิง อธิษฐานว่าหากรอดตายจะบวชถวายหลวงพ่อหนึ่งพรรษา แล้วเขาก็รอดตายจริงๆ สุดท้ายก็มาบวชถวายที่วัดไร่ขิง ตามที่ได้บนบานไว้ ส่วนเรื่องน้ำมนต์ของหลวงพ่อฯ เป็นที่น่าเชื่อถือมานานแล้วว่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บปวดหัวตัวร้อนได้ชงัดนัก แม้แต่วัวควายเป็นไข้ก็รักษาให้หายได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่มากราบหลวงพ่อ นิยมนำน้ำมนต์กลับบ้านทุกราย เดิมที่วัดจัดเป็นถุงพลาสติกใบเล็กๆให้ใส่ แต่เมื่อมีผู้คนต้องการมากขึ้น และการใส่ถุงพลาสติกก็อาจแตกกลางทางได้ ้ทางวัดจึงบรรจุน้ำมนต์ใส่ในขวดพลาสติก เพื่ออำนวยสะดวกแก่ผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งจะหลั่งไหลมากราบไหว้หลวงพ่อเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน <br />
<br />
<strong><span style="font-size: large;">บนบานศาลกล่าว</span></strong> <br />
ทุกวันจะมีประชาชนจากทั่วสารทิศมากราบไหว้หลวงพ่อ บนบานขอพรให้ท่านช่วย โดยเฉพาะในวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งผู้คนมากันอย่างล้นหลาม เสียงประทัดจะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพระอุโบสถ อย่างต่อเนื่องยาวนานในแต่ละวัน ซึ่งบอกให้รู้ว่า คนที่ได้รับพรจากหลวงพ่อแล้วสมปรารถนานั้น พากันมาแก้บนนั่นเอง และนอกจากประทัดแล้ว สิ่งที่ผู้คนบอกต่อๆมาว่าเป็นของโปรดของหลวงพ่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ ว่าว และเมื่อแก้บนขอพรเสร็จแล้ว ก่อนกลับทุกรายจะไปรับน้ำมนต์ ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง แต่เรื่องที่ห้ามบนบานศาลกล่าวก็คือเรื่องขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เหมือนกับพระพี่น้องที่ลอยน้ำมานั่นเอง <br />
<br />
<strong><span style="font-size: large;">งานนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิง</span></strong> <br />
ทางวัดได้จัดให้มีงานนมัสการหลวงพ่อปีละ 3 ครั้ง คือ <br />
- ในเทศกาลวันออกพรรษา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งทางวัดได้จัดงานตักบาตรเทโว และฟังเทศน์ จึงถือเป็นโอกาสให้มีการปิดทองนมัสการหลวงพ่อด้วย <br />
- ในเทศกาลตรุษจีน เพื่อให้ชาวจีนที่เคารพบูชาหลวงพ่อ ได้มีโอกาสกราบไหว้ปิดทองถวายเป็นพุทธบูชา <br />
- ในงานเทศกาลนมัสการปิดทองรูปหลวงพ่อ ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 จนถึง แรม 3 ค่ำ เดือน 5 <br />
งานเทศกาลนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงทุกงาน จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากใกล้ไกลที่มีจิตศรัทธาอย่างแรงกล้าเพื่อมากราบไหว้องค์หลวงพ่ออย่างแท้จริง เพราะทุกคนเชื่อว่า หลวงพ่อไม่ได้เป็นแค่พระอิฐพระปูนธรรมดาๆเท่านั้น<br />
<a href="http://www.vinayak-vanich.blogspot.com/2010/12/01.html" target="_blank">(ตำนาน พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ -ห้าพี่น้องลอยน้ำ)</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-20324435114030806512011-01-18T13:33:00.001+07:002013-08-11T12:36:10.588+07:00พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์-ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อบ้านแหลม <a href="http://www.vinayak-vanich.blogspot.com/2010/12/01.html" target="_blank">พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์</a> พระพุทธรูป 5 องค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันจากทางเหนือนั้น มีเพียงองค์เดียวที่ป็นพระพุทธรูปยืน คือองค์ที่ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง แล้วขึ้นสถิตอยู่ที่วัดบ้านแหลม อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ก็คือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าหลวงพ่อบ้านแหลมนั่นเอง<br />
<br />
<strong><span style="font-size: large;">ประวัติความเป็นมา</span> </strong>สำหรับหลวงพ่อบ้านแหลม มีตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ชาวบ้านแหลมซึ่งอยู่ปากอ่าวจังหวัดเพชรบุรี ได้พากันมาจับปลาในทะเล ขณะที่ลากอวนอยู่นั้นได้ลากพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยติดอวนขึ้นมาองค์หนึ่ง ทุกคนต่างดีใจมาก จึงอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นบนเรือ แล้วพากันล่องกลับเข้าฝั่ง แต่ระหว่างทางคนในเรือได้แลเห็นพระเกศของพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งลอยปริ่มๆน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงร้องบอกให้ทุกคนทราบ แล้วเทียบเรือเข้าไป จึงได้พบพระพุทธรูปยืน ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุดที่พระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลืองแต่ลอยอยู่ในน้ำได้ จึงพากันกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสในอภินิหารและอิทธิฤทธิ์ที่ได้พบเห็น แล้วอาราธนาขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่ง <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-zysrUDQGOrk/UgCCKkHNKPI/AAAAAAAAA-c/5Gq2efDRWHg/s1600/%E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A1-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://4.bp.blogspot.com/-zysrUDQGOrk/UgCCKkHNKPI/AAAAAAAAA-c/5Gq2efDRWHg/s400/%E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A1-01.jpg" width="286" /></a></div>
<br />
<br />
พอเรือแล่นมาถึงแม่น้ำแม่กลองตอนหน้าวัดศรีจำปา ได้เกิดอาเพทคล้ายกับว่า พระพุทธรูปยืนท่านประสงค์ที่จะอยู่วัดนี้ จึงทำให้ฝนตกหนัก ลมพายุพัดจัด จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เรือลำที่พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่นั้น ทนคลื่นลมไม่ไหว จึงเอียงวูบไป พระพุทธรูปที่อยู่บนเรือจึงเคลื่อนตกจมหายไปในแม่น้ำ ชาวบ้านแหลมพากันตกใจและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ต่างช่วยกันดำน้ำค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่พบ จึงตกลงว่าไม่ค้นหากันต่อไปอีก จึงนำพระพุทธรูปองค์นั่งองค์ที่เหลืออยู่ไปยังถิ่นของตนและนำพระพุทธรูปองค์นั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี กาลต่อมาชาวบ้านศรีจำปาต่างช่วยกันลงดำน้ำค้นหาพระพุทธรูปที่จมอยู่นั้น และอาจเป็นด้วยเพราะอภินิหารของหลวงพ่อที่จะอยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวบ้านศรีจำปา จึงทำให้ชาวบ้านศรีจำปาดำน้ำจนพบและอาราธนาไปประดิษฐานไว้ที่วัดศรีจำปา ครั้นชาวประมงบ้านแหลมครั้นรู้ข่าวว่าชาวบ้านศรีจำปาพบพระพุทธรูปของตนที่จมน้ำ จึงยกขบวนกันมาทวงพระคืน แต่ชาวบ้านศรีจำปาไม่ยอมให้ จนเกือบจะเกิดศึกกลางวัดขึ้น แต่ด้วยอภินิหารของหลวงพ่อและการมีเหตุผลด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็สามารถประสานสามัคคีตกลงปรองดองกันได้ ฝ่ายชาวประมงบ้านแหลมจึงยินยอมยกพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรให้ชาวบ้านศรีจำปาไป แต่มีข้อแม้ว่าต้องเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ เป็น"วัดบ้านแหลม" เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ชาวบ้านแหลมได้พระพุทธรูปมาแต่แรก ตั้งแต่นั้นมาวัดศรีจำปา จึงได้นามว่า วัดบ้านแหลมมาจนทุกวันนี้ และขนานนามพระพุทธรูปยืนว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" ต่อมาวัดบ้านแหลมได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชั้นวรวิหาร และได้รับพระราชทานนามว่า วัดเพชรสมุทวรวิหาร <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<span style="font-size: large;">พุทธลักษณะ</span> <br />
หลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร หล่อด้วยทองเหลืองแบบสมัยสุโขทัยตอนปลาย ภายในโปร่ง ส่วนสูงประมาณ 170 เซนติเมตร (บ้างว่าสูงประมาณ 2 เมตร 80 เซนติเมตร) แต่บาตรเดิมนั้นได้สูญหายไปในทะเลก่อนที่ชาวประมงจะได้จากทะเลปากอ่าวแม่กลอง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ได้เสด็จมานมัสการและได้ถวายบาตรแก้วสีเงินแก่หลวงพ่อบ้านแหลมดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ <br />
<br />
<span style="font-size: large;">ความศักดิ์สิทธิ์</span> <br />
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อบ้านแหลมนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ไม่ว่าเป็นทางก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค และเรื่องอื่นๆอีกมาก แม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ทรงทราบ อีกทั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 ก็ทรงเลื่อมใส ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขา ของรัชกาลที่ 6 ที่พระราชทานมายังพระครูมหาสิทธิการ(แดง) ความว่า "ปีกลายนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังเมืองสมุทรสงคราม ในกระบวนหลวง ได้รับสั่งให้คนนำเครื่องสักการะไปถวายหลวงพ่อบ้านแหลม และได้รับสั่งไว้แต่ครั้งนั้นว่า ขอผลอานิสงส์ความทรงเลื่อมใส จงบันดาลให้หายประชววร ครั้นเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯได้ไม่นานก็หายประชวร จึงทรงระลึกถึงที่ได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานไว้สมพระประสงค์ โปรดพระราชทานปัจจัยเป็นมูลค่า 800 บาท มาเพื่อช่วยในการปฏิสังขรณ์วัดบ้านแหลม ข้าพเจ้าได้ส่งมาให้ท่านพระครูทางกระทรวงธรรมการแล้ว" อีกประสบการณ์หนึ่งจากผู้ที่รอดชีวิตเพราะบุญญาบารมีของหลวงพ่อคุ้มครอง คือ นายชิต เข้มขัน อดีตนายด่านศุลการกร สมุทรสงคราม ได้ประกอบอาชีพเป็นกัปตันเรือเดินทะเลระหว่างกรุงเทพฯ-สิงคโปร์ คราวหนึ่งเรือถูกพายุอัปปางลง เขาต้องลอยอยู่ในทะเลหลายชั่วโมง จวนหมดกำลังจมน้ำอยู่แล้ว ก็นึกถึงหลวงพ่อบ้านแหลมขึ้นมาได้ จึงขอให้หลวงพ่อช่วย ขณะนั้นเรือที่เดินอยู่ในทะเลได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยจึงหันหัวเรือตามหา แต่เดือนมืดมองไม่เห็น เรือแล่นวนเวียนอยู่สักครู่ก็จะหันหัวเรือกลับ แต่ก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกให้ช่วยอยู่เรื่อย จึงค้นหาอีกจนพบนายชิตลอยคออยู่จวนจะจมน้ำ เมื่อเอาตัวขึ้นมาบนเรือนั้นนายชิตสลบไม่ได้สติ ต้องแก้ไขอยู่นาน พอฟื้นจึงพากันซักถามว่าตะโกนให้ช่วยหรือเปล่า นายชิตบอกว่าไม่ได้เรียกให้ช่วย เป็นแต่คำนึงถึงหลวงพ่ออยู่ในใจ ขอให้หลวงพ่อช่วย เท่านั้นเอง <br />
<br />
<span style="font-size: large;">บนบานศาลกล่าว</span> <br />
เรื่องการบนบานขอให้หลวงพ่อบ้านแหลมช่วยเหลือนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันมาว่า ท่านช่วยทุกเรื่องที่คนเข้ามาขอความเมตตา ยกเว้นเรื่องทหาร หากมาขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร คนนั้นเป็นต้องถูกเกณฑ์อย่างแน่นอน เพราะกล่าวกันว่าท่านชอบทหารนั่นเอง และเมื่อสิ่งที่บนบานไว้ได้ดังประสงค์ มักจะนิยมแก้บนกันด้วยพวงมาลัยเป็นส่วนใหญ่ จะมีประทัดบ้างก็ประปราย <br />
<br />
<span style="font-size: large;">ที่พึ่งของชาวประมง</span> <br />
ทุกวันนี้ก่อนออกเรือหาปลา ชาวประมง สมุทรสงคราม จะกราบไหว้และขอพรหลวงพ่อบ้านแหลมให้คุ้มครองพวกตนพ้นจากภยันตราย และกลับมาโดยสวัสดิภาพ และได้ปฏิบัติเช่นนี้ต่อๆกันมาตราบจนทุกวันนี้ <br />
<br />
บทความหน้าโปรดติดตามเรื่องราวของ"หลวงพ่อวัดไร่ขิง" จังหวัดนครปฐม นะครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-78130711744584803512010-12-28T15:18:00.001+07:002013-08-11T12:36:10.600+07:00พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์-ห้าพี่น้องลอยน้ำ-หลวงพ่อโสธร เมื่อตอนที่แล้วได้พูดถึง <a href="http://vinayak-vanich.blogspot.com/2010/12/01.html" target="_blank">ตำนานของ พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์</a> พระพุทธรูป 5 องค์ ที่ลอยน้ำมาด้วยกันแล้ว บทความนี้ ขอกล่าวถึง ตำนานของหลวงพ่อพุทธโสธร หรือหลวงพ่อโสธร แห่งวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา <br />
<br />
<strong>ประวัติความเป็นมา</strong><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรนี้ มีผู้เล่าสืบกันมาหลายกระแส บ้างว่า ท่านมีพี่น้องที่ลอยน้ำมาพร้อมกัน 3 องค์ คือ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโตบางพลี และหลวงพ่อโสธร ส่วนอีกตำนานหนึ่งบอกว่า ท่านเป็นพี่น้องกับหลวงพ่อบ้านแหลมและหลวงพ่อวัดไร่ขิง และก็ยังมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบมาว่า ท่านลอยน้ำมาพร้อมกับหลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อวัดเขาตะเครา<br />
อย่างไรก็ตาม ตำนานที่เล่าขานกันมานี้ก็มีความคล้ายคลึงกันว่า พระพุทธรูป 3 องค์พี่น้องลอยน้ำมาจากทางเมืองเหนือ จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า"สามเสน" จึงได้แสดงอภินิหารลอยให้ชาวเมืองเห็น ชาวบ้านจึงได้ทำการฉุดพระพุทธรูปทั้งสามองค์ โดยใช้เวลา 3 วัน 3 คืนก็ฉุดไม่ขึ้น กล่าวกันว่าครั้งนั้นใช้ผู้คนเป็นแสนๆ ก็ไม่สำเร็จ ตำบลนั้นจึงได้ชื่อว่า "สามแสน" ต่อมาจึงเพี้ยนเป็น"สามเสน" พระทั้ง 3 องค์ก็จมน้ำลง จากนั้นก็ลอยล่องเข้าสู่คลองพระโขนงลัดเลาะไปสู่แม่น้ำบางปะกง และได้ลอยผ่านคลอง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คลองชักพระ พระพุทธรูปได้แสดงอภินิหารลอยขึ้นให้ชาวบ้านเห็น ชาวบ้านจึงพากันมาชักพระขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกคลองนี้ว่า "คลองชักพระ" แล้วทั้งสามองค์ก็ได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปทางหัววัดอีก สถานที่นั้นจึงเรียกว่า "วัดสามพระทวน" และเรียกเพี้ยนเป็น "วัดสัมปทวน" ทั้งสามองค์ได้ลอยตามแม่น้ำบางปะกงเลยผ่านหน้าวัดโสธรไปถึงคุ้งน้ำใต้วัดโสธร และแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านเห็นอีก ชาวบ้านได้ช่วยกันฉุดแต่ไม่ขึ้น จึงเรียกหมู่บ้านและคลองนั้นว่า "บางพระ" มาจนทุกวันนี้ พระพุทธรูปทั้งสามได้ลอยทวนน้ำวนอยู่ที่หัวเลี้ยวตรงกับกองพันทหารช่างที่ 2 ณ สถานที่ลอยวนอยู่นั้นเรียกว่า "แหลมหัววน" <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-qnlnDx2dfqY/UgCCp1cwi3I/AAAAAAAAA-k/UgLsg1R_9gc/s1600/%E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%A3-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://2.bp.blogspot.com/-qnlnDx2dfqY/UgCCp1cwi3I/AAAAAAAAA-k/UgLsg1R_9gc/s400/%E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%A3-01.jpg" width="332" /></a></div>
<br />
<strong></strong><br />
<strong>อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากน้ำ</strong><br />
หลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อโสธรได้แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดโสธร ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า วัดหงษ์ ชาวบ้านช่วยกันยกและฉุดขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สามารถนำขึ้นได้ จนมีอาจารย์ผู้หนึ่งรู้วิธีอัญเชิญ โดยตั้งพิธีบวงสรวงใช้สายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์ จนสามารถอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานในวิหารได้สำเร็จ ในราว พ.ศ.2313 <br />
ในการนี้จึงจัดให้มีการสมโภชฉลององค์หลวงพ่อ หลังจากท่านได้ประทับที่วัดหงส์เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านยังไม่รู้ว่าจะขนานนามชื่อของหลวงพ่อว่าอย่างไร แต่เข้าใจว่าท่านคงต้องการชื่อเดิมของท่าน คือ "พระศรี" เพราะเป็นชื่อดั้งเดิมขณะประทับที่วัดศรีเมือง ทางภาคเหนือ ประกอบกับมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าหลวงพ่อมีความประสงค์จะใช้นามว่า "หลวงพ่อพุทธศรีโสธร" เพราะได้เกิดพายุพัดเอาหงษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเสาหักลงมา ชาวบ้านจึงเปลี่ยนหงษ์เป็นเสาธง แล้วเรียกชื่อวัดหงษ์เป็นวัดเสาธง ต่อมาไม่นานก็เกิดพายุพัดเสาธงหักทอนลงอีก ชาวบ้านจึงเรียกวัดเสาธง ว่า"วัดเสาธงทอน" ภายหลังเห็นว่าไม่ไพเราะ จึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดโสธร" และเรียกนามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อโสธร" ต่อมาวัดโสธรได้รับการเสนอแต่งตั้งให้เป็นวัดหลวง ได้ชื่อว่า "วัดโสธรวรารามวรวิหาร" และขนานนามหลวงพ่ออย่างเป็นทางการว่า "หลวงพ่อพุทธโสธร" <br />
<br />
<strong>ปกปิดองค์จริง</strong><br />
องค์เดิมเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ หน้าตักกว้างเพียงศอกเศษ มีพุทธลักษณะที่งดงามมาก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยลานช้าง เพราะดูจากพุทธลักษณะซึ่งเป็นที่นิยมสร้างกันมากในสมัยนั้น แต่เนื่องจากพระสงฆ์ในวัดขณะนั้นพิจารณาเห็นว่าอาจจะไม่ปลอดภัยในภายภาคหน้า จึงได้พอกปูนเสริมให้ใหญ่เพื่อหุ้มองค์จริงไว้ภายใน จนมีหน้าตักกว้างประมาณสามศอกครึ่ง อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แล้วจึงลงรักปิดทอง ให้สวยงาม และเป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา <br />
<br />
<strong>ความศักดิ์สิทธิ์</strong><br />
ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธร เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนมากมาย ที่มีจิตศรัทธา และเชื่อมั่นในบุญกุศลที่หลั่งไหลมากราบไหว้สักการบูชา และขอพรบารมีจากหลวงพ่อ จนเป็นที่กล่าวขานบอกเล่าต่อๆกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางค้าขาย ทางคงกระพัน ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค โดยใช้ขี้ธูป ดอกไม้บูชาที่แห้งเหี่ยวแล้ว และอธิษฐานหยดเทียน ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ มาทำยา ดังมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งชาวบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ฝนก็แล้ง จนเกิดโรคระบาด ทั้งคนและสัตว์ล้มตายไปมาก มีครอบครัวหนึ่งป่วยเป็นไข้ทรพิษ เมื่อหมดทางรักษาก็ไปนมัสการอธิษฐานขอความคุ้มครองจากหลวงพ่อและนำเอาขี้ธูปและดอกไม้แห้งที่บูชาหลวงพ่อ และหยดน้ำตาเทียนที่ขอน้ำมนต์ แล้วเอามาต้มกิน ปรากฏว่าโรคหาย กิตติศัพท์หลวงพ่อจึงได้โด่งดังไปทั่ว ถึงกับมีการสมโภชและแก้บนกันตราบทุกวันนี้ แม้กระทั่งชาวต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ก็มากราบไหว้บูชาบนบานไม่ขาดสาย และบางรายมาแก้บนเช่นเดียวกับคนไทย การแก้บนหลวงพ่อโสธรที่นิยมกันคือ ละครชาตรี ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัย <br />
<br />
<strong>เรื่องที่ห้ามบนบาน</strong><br />
มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่สืบมาว่า เรื่องที่ห้ามบนบานกับหลวงพ่อโสธรคือ เรื่องขอไม่ให้เป็นทหาร กับเรื่องขอบุตร ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อท่านชอบให้คนเป็นทหารเพื่อจะได้ปกปักรักษาบ้านเมือง และคนที่เป็นทหารก็เป็นเสมือนลูกหลานของท่าน ดังนั้นใครที่มาขอไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร เป็นต้องถูกเกณฑ์ทุกราย! และคนที่มาขอบุตร ก็มักจะได้บุตรที่มีอาการไม่ครบ 32 เนื่องจากว่าท่านได้ส่งลูกหลานซึ่งเป็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายมาให้นั่นเอง! เรื่องนี้เท็จจริงประการใดคงต้องพิจารณากันเอาเอง <br />
<br />
บทความหน้าโปรดติดตามเรื่องราวของ"หลวงพ่อบ้านแหลม" จังหวัดสมุทรสงครามAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-26886423933498285262010-12-14T14:50:00.001+07:002013-08-11T12:36:10.590+07:00พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์-ห้าพี่น้องลอยน้ำ-01 กาลครั้งหนึ่งตำนานกล่าวว่า มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมาก ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานว่า "เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไป จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน" ครั้นพระอริยบุคคลทั้งห้าองค์นี้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ มีความปรารถนาจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนทางเมืองใต้ จึงพากันแสดงฤทธิ์ให้พระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาทางใต้ตามแม่น้ำทั้ง 5 สาย ชาวบ้านชาวเมืองตามริมฝั่งแม่น้ำเห็นพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาก็พากันเลื่อมใส จึงพากันอาราธนาให้ขึ้นสถิตอยู่ตามวัดต่างๆ โดย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TQcf6tJ8_DI/AAAAAAAAAdU/FYBJWdIxbw8/s1600/%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-in+text.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" n4="true" src="http://4.bp.blogspot.com/_nODZ1TzbWz4/TQcf6tJ8_DI/AAAAAAAAAdU/FYBJWdIxbw8/s400/%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587-in+text.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
- พระพุทธรูปองค์แรกลอยมาตามแม่น้ำบางปะกง แล้วขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร<br />
จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกว่า "<b>หลวงพ่อโสธร</b>"<br />
- พระพุทธรูปองค์ที่สองลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดไร่ขิง<br />
จ.นครปฐม เรียกว่า "<b>หลวงพ่อวัดไร่ขิง</b>"<br />
- พระพุทธรูปองค์ที่สาม ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบางพลี<br />
จังหวัดสมุทรปราการ เรียกว่า "<b>หลวงพ่อบางพลี</b>"<br />
- พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ลอยมาตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านแหลม<br />
จังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "<b>หลวงพ่อบ้านแหล</b>ม"<br />
- และพระพุทธรูปองค์ที่ห้า ลอยมาตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาตะเครา<br />
จังหวัดเพชรบุรี เรียกว่า "<b>หลวงพ่อวัดเขาตะเครา</b>" <br />
<br />
พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ที่มีผู้คนทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลั่งไหลมาเคารพสักการะมิได้ขาด เรื่องราวความเป็นมาและปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปแต่ละองค์จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน"เล่าขานตำนานไทย"บทความต่อไป <br />
<br />
ข้อมูล<br />
เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-85920258983272319712010-12-05T11:03:00.002+07:002013-08-11T12:49:58.244+07:00LONG LIVE THE KING and The Sufficiency Economy Theory<a href="http://lh5.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPsPA4TCrUI/AAAAAAAAAdM/TCB-gnLKnpM/s1600-h/Longlivetheking015.jpg"><img alt="Long live the king-01" border="0" height="272" src="http://lh5.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPsPBgDLwyI/AAAAAAAAAdQ/gLL58ycva-U/Longlivetheking01_thumb3.jpg?imgmax=800" style="border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; border-top-width: 0px; display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto;" title="Long live the king-01" width="403" /></a> <br />
<h3 align="center">วันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม</h3><h3 align="center">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว</h3><h3 align="center">ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน</h3><div align="center">__________________________________________</div> และเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคมทาง blog vinayak-vanich ขอมีส่วนร่วมในการบอกต่อข่าวสารในเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็น ทฤษฏีการดำรงชีวิต ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยทุกคน เพื่อผู้ที่สนใจและต้องการนำทฤษฏี นี้ไปใช้ ได้ตามไปถึงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับทฤษฏีนี้ได้ เริ่มที่แรกกันเลยนะครับ<br />
<a href="http://longlivetheking.kpmax.com/" target="_blank">http://longlivetheking.kpmax.com/</a><br />
E-learning/CAI เศรษฐกิจพอเพียง online<br />
To know about His Majesty King Bhumibol’s ideas about the Sufficiency Economy Theory.and applied in organization and Stimulation Program. <br />
เว็บนี้เป็นที่ให้ข้อมูล ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง online มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษครับ <br />
<a href="http://www.kasetporpeang.com/" target="_blank">http://www.kasetporpeang.com/</a><br />
<b> เกษตรพอเพียง</b>-โลกสีเขียวแห่งการแบ่งปัน<br />
ทุกคนล้วน เป็นลูกหลานชาวไร่, ชาวนา, ชาวสวน และผู้มีใจรัก งานด้านเกษตร ถึงวันนี้พวกเราจะเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่กำลังรวมตัวกัน แต่หวังว่า สักวันหนึ่งชุมชนแห่งนี้จะเติบโต และยิ่งใหญ่ไม่แพ้เว็บไซด์ใดๆ <br />
<a href="http://www.bansuanporpeang.com/" target="_blank">http://www.bansuanporpeang.com/</a><br />
<b> บ้านสวนพอเพียง</b> หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงบนอินเทอร์เน็ต : แบ่งปัน สร้างสรรค์ พอเพียง<br />
ถ้าพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ไม่พูดถึง อาจารย์วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือที่ใครๆเรียกกันว่า<br />
อาจารย์ยักษ์ ก็เท่ากับว่ายังไม่รู้จักเศรษฐกิจพอเพียงดีพอ อาจารย์ยักษ์ รับราชการติดตามในหลวงอยู่ดีๆ ทำไมถึงลาออกมาเป็นชาวนา ติดตามได้จากคำพูดของอาจารย์ยักษ์ <br />
ครับก็นำข้อมูลมา 3 ที่ ที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว แต่จริงๆแล้วมีอีกหลายที่มากนะครับและไม่ได้จำกัดแค่เรื่องการเกษตร ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกๆภาคส่วน ร่วมทั้งในเรื่อง ธุรกิจ ผมเคยพบข้อมูลหนึ่ง ที่เป็นเรื่องของ ธุรกิจรีสอร์ท ที่ประสบปัญหาถึงขั้นกำลังจะต้องตัดสินใจขายกิจการเพื่อใช้หนี้ แต่เขามาพบทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง เสียก่อนแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในกิจการของเขา ซึ่งก็สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ได้ด้วย “ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นเอง <br />
ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ……..พวกเราชาวไทย-รักในหลวง “We love the King"Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-81206854281118563532010-11-29T12:51:00.003+07:002013-08-30T13:41:42.502+07:00Princess Vilas’s story พระองค์เจ้าหญิงวิลาส<br />
<b><span style="font-size: large;"> สวัสดีครับ</span></b> นี่ก็ใกล้เข้าวันสำคัญที่ปวงชนชาวไทยรอคอยแล้วนะครับก็คือวัน วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลดุลยเดช วันที่ 5 ธันวาคมนี้ แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า เมื่อ 199 ปีที่แล้ว วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2354 ก็เป็นวันประสูติของ <strong>พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ</strong> ซึ่งมีพระนามเดิมว่า <strong>พระองค์เจ้าวิลาส </strong>ทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 3กับ เจ้าจอมมารดาบาง มีพระอนุชาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงเป็นพระปิตุจฉาของ สมเด็จพระนางเจ้า โสมนัสวัฒนาวดี สิ้นและพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. 2388 พระราชธิดาองค์นี้ค่อนข้างมีบทบาทอย่างมากในยุคนั้นกล่าวได้คือ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-fjbYOynmwq0/Ufns5FEGJ8I/AAAAAAAAA9k/Uttm4pcwvTU/s1600/Vilas+Story+by+vinayak-vanich.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="vinayak-vanich.blogspot.com" border="0" height="640" src="http://3.bp.blogspot.com/-fjbYOynmwq0/Ufns5FEGJ8I/AAAAAAAAA9k/Uttm4pcwvTU/s640/Vilas+Story+by+vinayak-vanich.jpg" title="vinayak-vanich.blogspot.com" width="512" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<b><span style="font-size: large;"> </span></b>- กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเป็นพระราชธิดาองค์โปรดในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกให้เป็น "นางแก้ว" ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัตนะของพระองค์อีกด้วย” - (http://th.wikipedia.org/) <br />
<a href="http://lh5.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPM_SHN19WI/AAAAAAAAAc0/vWUB1tYflA0/s1600-h/ram3%5B5%5D.jpg" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img align="left" alt="ram3" border="0" height="240" src="http://lh5.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPM_TPphssI/AAAAAAAAAc4/8ixHNRLND1k/ram3_thumb%5B3%5D.jpg?imgmax=800" style="border: 0px; display: inline; margin: 5px 5px 5px 0px;" title="ram3" width="135" /></a> <b><span style="font-size: large;"> </span></b>- พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเสียสละและอดทนอย่างยิ่งต่อการที่จะทำนุบำรุงบ้านเมือง พระศาสนา และอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดรัชกาลของพระองค์ ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งถึงกุญแจแห่งความสำเร็จว่า ประกอบด้วยแก้ว 5 ประการ สำหรับเพื่อแผ่นดิน อันได้แก่ <br />
1. บ่อแก้ว หมายถึง พระยาราชมนตรี (ถู่) ซึ่งเป็นราชบัญฑิตที่น่าเลื่อมใส<br />
2. ช้างแก้ว หมายถึง พระยาช้างเผือกนามว่า พระเทพกุญชร พระยาเศวตกุญชร และพระยามงคลเดชพงศ์ <br />
3. นางแก้ว หมายถึง <strong>พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ</strong> <br />
4. ขุนพลแก้ว หมายถึง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพผู้คอยปกป้องพระราชอาณาเขตให้พ้นจากการรุกรานของศัตรู <br />
5. ขุนคลังแก้ว หมายถึง พระศรีสหเทพ (ทองเพ็ง ศรีเพ็ญ) <br />
<br />
<br />
อย่างแรกที่พวกเราคนในยุคปัจจุบันทราบคือ ท่านอยู่ในบทบาท ของ”นางแก้ว” หนึ่งในกุญแจแห่งความสำเร็จในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ที่ในยุคนั้นนับว่า บทบาทของสตรีช่างน้อยเหลือเกิน แล้วท่านผู้อ่านทราบอีกมั๊ยครับว่า วันลอยกระทงที่ท่านผู้อ่านเพิ่งไปลอยกันมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พวกเราคนในยุคปัจจุบันอีกตามประวัติดังนี้ <br />
“ประเพณีลอยกระทง ทำด้วยใบตองในระยะแรก จำกัดอยู่ในราชสำนักกรุงเทพฯ เท่านั้น มีรายพรรณาเป็นรายละเอียดอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 3 ว่า<strong>กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ</strong> ราชธิดาองค์โปรดได้แต่งกระทงเล่นทุกปี เมื่อนานเข้าก็เริ่มแพร่หลายสู่ราษฎรในกรุงเทพฯ แล้วขยายไปยังหัวเมืองใกล้เคียงในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา” (ข้อมูล : สถาบันอยุธยาศึกษา - ลอยกระทง ขอขมาธรรมชาติ) <br />
<br />
นอกจากเรื่องกระทงใบตองที่ในยุคปัจจุบันยังมีประดิษฐ์กันอยู่แล้ว ในยุคของท่านนั้นมีกวีเอกอยู่หลายท่าน แต่จะขอกล่าวถึง 2 ท่านที่เกี่ยวข้องกับ พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพท่านแรกก็คือ “คุณสุวรรณ” <br />
คุณสุวรรณนี้ เมื่อเจริญวัย บิดามารดา จึงได้ถวายตัวให้รับราชการฝ่ายใน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่าคุณสุวรรณ "มีอุปนิสัยใจรักการแต่งกลอนมาแต่ยังเด็ก ได้ถวายตัวทำราชการฝ่ายในตามเหล่าสกุล เมื่อรัชกาลที่ 3 อยู่ที่ตำหนักพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ"[1]<br />
คุณสุวรรณได้แต่งเพลงยาวทำนองเป็นจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์ขึ้น 2 เรื่องคือ เพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ และเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เพลงยาว 2 เรื่องนี้มีการบันทึกเรื่องราวของหญิงชาววังไว้เป็นอย่างดี รวมถึง "การเล่นเพื่อน" ของหญิงชาววังด้วย <br />
<br />
คุณสุวรรณนั้น พวกชาววังสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ มักพูดกันว่า เธอเสียสติ หรือเจ้านายบางพระองค์วิจารณ์ว่า เธอฟุ้งไปด้วยเรื่องหมกมุ่น แต่งหนังสือ 'บ้าๆบอๆ' เช่นแต่งกลอน ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องพระมะเหลเถไถ และอยู่ดีๆก็เอาตัวละครในเรื่องต่างๆมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน (คือเรื่องอุณรุทร้อยเรื่อง) แต่ที่จริงแล้วคุณสุวรรณคงไม่ได้บ้าหรือเสียสติอย่างที่พูดๆกัน ที่เธอแต่งเรื่องพระมะเหลเถไถ หรืออุณรุทร้อยเรื่อง ก็คงเป็นด้วยความตั้งใจจะทำอะไรๆให้แปลกให้แหวกแนวออกไป หรืออาจแต่งประชดประชันระบายอารมณ์ที่เก็บเอาไว้ คุณสุวรรณคงไม่ได้บ้า หากแต่ 'ทำเป็นบ้า' เพราะคุณสุวรรณนั้น เล่ากันมาว่า เธอจงรักภักดีใน พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ในรัชกาลที่ ๓ นักหนา เมื่อสิ้นพระชนม์คุณสุวรรณจึงเศร้าโศกเสียใจมาก (กรมศิลปากร.รวมวรรณคดีห้าเรื่อง(บทละครเรื่องพระมะเหลเถไถ บทละครเรื่องอณรุทร้อยเรื่อง กลอนเพลงยาวเรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ กลอนเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอับสรสุดาเทพ และบทละครเรื่อง ระเด่นลันได).ศิลปบรรณาคาร.2511) <br />
<br />
เป็นไงบ้างครับผ่านไป 1 กวีในยุคนั้นซึ่งหนังสือที่คุณสุวรรณแต่งคงผ่านสายตาผู้อ่านในยุคนี้หลายๆคนและกลายเป็นละครจักรๆวงศ์ๆ ช่วงเช้าๆวันเสาร์-อาทิตย์ในปัจจุบันอีก ส่วนกวีอีก 1 ท่าน ชื่อของท่านในยุคปัจจุบันนี้ ก็กลายเป็น landmark ประจำ อ.แกลง จ.ระยองไปเรียบร้อยแล้วครับ และชื่อของท่านก็กลายเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในปัจจุบันคือ<strong>"วันสุนทรภู่"</strong> <i></i> <br />
<h3>
<a href="http://lh5.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPM_T0d--2I/AAAAAAAAAc8/JuH3wb7CFpU/s1600-h/sunthornphu_01%5B4%5D.jpg" style="clear: left; float: left; font-style: italic; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img align="left" alt="sunthornphu_01" border="0" height="240" src="http://lh4.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPM_U-g1wCI/AAAAAAAAAdA/6nKX2FwAwAc/sunthornphu_01_thumb%5B2%5D.jpg?imgmax=800" style="border: 0px; display: inline; margin: 5px;" title="sunthornphu_01" width="180" /></a><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"> (ในการนี้ รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่อง "สุนทรภู่" ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก โดยในวาระครบรอบ 200 ปีเกิด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ต่อมา นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของสุนทรภู่ ให้แพร่หลายในหมู่เยาวชนและประชาชนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น "วันสุนทรภู่" ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่"วัดเทพธิดาราม" และ ที่จังหวัดระยอง และมีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป )</span></span></h3>
ใช่แล้วครับเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่าน “สุนทรภู่” ลองค้นข้อมูลที่เกี่ยวพันระหว่างกวีท่านนี้และกรมหมื่นอับสรสุดาเทพก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะแม้แต่ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 3 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ก็ได้เขียนถึงท่านว่า "กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ เป็นถึงพระราชบุตรีที่โปรดปรานมาก คนก็เข้าพึ่งพระบารมีแทบทั้งแผ่นดิน" แน่นอนว่าท่านคงไม่ธรรมดาแน่ เพราะแม้แต่สุนทรภู่ที่บวชหนีราชภัย ก็ยังเข้ามาขอพึ่งพระบารมีเจ้านายองค์นี้ โดยย้ายจากวัดเลียบราชบูรณะมาอยู่วัดเทพธิดารามถึง 3 ปี (พ.ศ.2383-2385) และได้แต่ง รำพันพิลาป ขึ้นที่นี่ก่อนลาสึก<br />
<br />
<a href="http://lh4.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPM_Vk8-yEI/AAAAAAAAAdE/B7kvN6BqqSI/s1600-h/1191873799%5B5%5D.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img align="right" alt="1191873799" border="0" height="240" src="http://lh3.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TPM_Wf-uCzI/AAAAAAAAAdI/zmVzTE-IFQs/1191873799_thumb%5B3%5D.jpg?imgmax=800" style="border: 0px; display: inline; margin: 5px;" title="1191873799" width="224" /></a> นี่ไงครับ สตรีผู้ที่มีส่วนและอยู่เบื้องหลัง ชื่อเสียงระดับโลกของกวีเอกไทย และมีอีกเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนในยุคปัจจุบัน ก็คือเรื่อง "ภิกษุณี" ที่ทุกวันนี้มีข่าวในประเทศว่าจะให้มีหรือไม่สำหรับภิกษุณี นี้ หรือถ้าพวกเราอยากเห็น ภิกษุณี ตัวเป็นๆ ก็ต้องเดินทางไปดูที่ ศรีลังกา หรือไต้หวัน แต่ถ้าพวกเราอยากเห็นจริงๆในรูปแบบประติมากรรม ก็ให้ไปดูที่”วัดเทพธิดาราม” ซึ่งเป็นวัดประจำพระองค์ของเจ้านายพระองค์นี้ ภายในวัดจะมี ประติมากรรมกลุ่มผู้หญิงอยู่ในพระวิหาร เป็นรูปหล่อตะกั่วปิดทองที่เรียกกันว่ากลุ่ม "ภิกษุณี" จำนวน 52 รูป ตั้งอยู่หน้าพระประธานที่ประดิษฐานอยู่เหนือบัลลังก์บุษบก ที่เชื่อว่าเป็น "ภิกษุณี" เพราะโกนศีรษะและแต่งตัวแบบนักบวช พวกเธออยู่ในท่านั่ง มีอยู่ด้วยกัน 4 แถว (อีกอย่างที่เราเกิดสงสัยขึ้นมาก็คือบางทีพวกเธอทั้งหมดอาจเป็นตัวแทนของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพและนางข้าหลวงผู้ติดตามก็ได้เพราะรูปปั้นเหล่านั้นถึงแม้จะโกนผม แต่ทั้งหมดล้วนกันไรซึ่งแสดงว่าเธอทั้งหลายเป็นสตรีชาววัง-วารุณี โอสถารมย์ (ห ม า ย เ ห ตุ สั ง ค ม – เที่ยววัดเทพธิดาแล้วคิดถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ))<br />
<div>
<span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><br /></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><br /></span></div>
<em></em> และถ้าท่านผู้อ่านอยากรู้เรื่อง ภิกษุณี เพิ่มเติม ลองตามลิ๊งนี้ดูนะครับ <a href="http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1017" target="_blank" title="http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1017">http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1017</a> ท้ายที่สุดนี้ผมขออนุญาตนำ ข้อความดีๆของ คุณวารุณี โอสถารมย์ มาปิดท้ายบทความนี้เพราะเธอพรรณาได้จับใจผมจริงๆครับ<br />
<br />
“ถ้าเช่นนั้น วัดเทพธิดารามวรวิหารที่เราเข้าไปเที่ยวชมนั้น คงไม่ได้เป็นเพียงแค่วัดที่มีอดีตให้จดจำว่าสร้างให้กับเจ้านายสตรีสูงศักดิ์พระองค์หนึ่ง เพื่อให้ทำหน้าที่สืบทอดพุทธศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นอนุสรณ์แสดงถึงเป็นตัวตนของเจ้านายพระองค์นี้ด้วย…...อนุสรณ์ที่รอวันเวลาให้ผู้คนในยุคปัจจุบันค้นพบและทำความรู้จัก…...ให้ระลึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งเคยมีบทบาทในสังคมไทย”.......จนถึงปัจจุบันAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-86714236505599712982010-11-24T13:53:00.002+07:002013-08-11T12:49:58.246+07:00The way to Lord Ganesha-02 <b><span style="font-size: large;">สวัสดี </span></b>ครับ เป็นไงกันบ้างครับ ต่อจากบทความ <a href="http://vinayak-vanich.blogspot.com/2010/11/way-to-lord-ganesha-01.html" target="_blank">The way to Lord Ganesha-01</a> ท่านถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหนได้หรือยังครับ (เลือกมา 1 ปางแล้วศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้ลึกซึ้งในปางนั้น ให้ใจของท่าน(ผู้อ่าน)นำพาไปหาปัญญา-ความรู้-คติธรรมหรือแม้แต่แก่นในการใช้ชีวิตที่ซ่อน อยู่ในตัวท่านพระพิฆเนศ ) ในบทความนี้เป็นข้อมูลของพระพิฆเนศ บน Social Network ที่กำลังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเราในขณะนี้ เช่น นั่ง Taxi ก็ tweet, กินข้าวอยู่ ก็ต้องแบ่งปันภาพการเอาอาหารใส่ปากให้เพื่อนๆดู (share) และเพื่อนเราก็ชอบนะครับ (I Like)เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้จริงๆครับ ก็มีส่วนหนึ่งที่แบ่งปันข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับ พระพิฆเนศ ผมขอเพิ่มเติมบางส่วนนะครับ <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://lh5.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TOy2N6x1w8I/AAAAAAAAAcQ/SiQRTCLOlxs/s1600-h/Ganeshhi51.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img align="right" alt="Ganesh-hi5" border="0" height="181" src="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TOy2O4JKRXI/AAAAAAAAAcU/4USEoaz5fKY/Ganeshhi5_thumb1.jpg?imgmax=800" style="border-width: 0px; display: inline; margin: 0px;" title="Ganesh-hi5" width="200" /></a></div>
<br />
เริ่มจาก Social Network ที่ชื่อ HI 5 ขวัญใจ วัยทีน-วัยรุ่น-วัยศึกษา โดยใน HI 5 ให้ไปค้นหา กลุ่มในหมวดศาสนาและความเชื่อโดยจะเลือกค้นหาในภาษาใดก็ได้ แล้วข้อมูลของท่านก็จะปรากฏขึ้นมาให้ผู้อ่านเห็น แล้วลงเลือกกลุ่มที่ตัวเองชอบนะครับ แล้วคลิกเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่มนั้น เพื่อที่จะรับ ข้อมูล-ข่าวสาร-กิจกรรม ที่สมาชิกกลุ่มนำมาแบ่งปันกันในกลุ่ม และถ้าผู้อ่านมีข้อสงสัยใดเกี่ยวกับพระพิฆเนศก็สามารถเข้าไปตั้งคำถาม ภายในกลุ่มนั้นได้อีก เป็นยังไงครับ Social Network ที่น้องๆ หลานๆ เข้าไปผ่อนคลาย หามิตรภาพ หาเพื่อน เล่นเกมส์ออนไลด์ แถมยังได้มีความรู้เกี่ยวกับศาสนา ด้วยครับ <br />
<br />
<br />
<a href="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TOy2P_CK0JI/AAAAAAAAAcY/_xrB1Z3IYQs/s1600-h/GaneshFB16.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img align="right" alt="Ganesh-FB" border="0" height="240" src="http://lh4.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TOy2Q_Ro4EI/AAAAAAAAAcc/nON24fcXIRY/GaneshFB_thumb12.jpg?imgmax=800" style="border-width: 0px; display: inline; margin-left: 0px; margin-right: 0px;" title="Ganesh-FB" width="198" /></a> ต่อมาก็เป็น Social Network สุดฮิตที่มีผู้ใช้ถ้าคิดเป็นประเทศ ต้องถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ใช่แล้วครับ Face Book นั่นเองครับ วิธีการค้นหาท่านพระพิฆเนศก็เหมือนกัน ใน HI 5 แหละครับ คือเข้าไปหากลุ่ม หรือพิมพ์ คำว่า “พระพิฆเนศ, Ganesh, Vinayak” หรือพระนามของท่านต่างๆลงในช่องค้นหาใน Face Book แล้วข้อมูลของพระพิฆเนศก็จะปรากฏให้ท่านเห็นดังรูป แต่ข้อมูลใน Face Bookจะมีพิเศษหน่อยตรงที่ว่าหลายๆกลุ่มเป็นการรวมตัวของสมาชิกภายในประเทศต่างทั่วโลก ซึ่งหมายความว่า น้องๆ หลานๆ ภาษาอังกฤษตั้งมีติดตัวหน่อยนะครับ แต่เพื่อความปลอดภัยให้ติดตั้ง application ของ Facebook ที่ชื่อว่าTranslation ภายใน Facebook ของท่านผู้อ่านด้วย เพราะบางกลุ่ม เป็นกลุ่มคนชอบพระพิฆเนศ ภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส หรือรวมทั้งภาษา Hindi ด้วย จะได้แปลได้ทุกภาษาทั่วโลกไงครับ<br />
<br />
<br />
<a href="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TOy2R-n2OmI/AAAAAAAAAcg/29ak3kwD7Zs/s1600-h/diamondganesh007.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img align="right" alt="diamond ganesh-00" border="0" height="302" src="http://lh3.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TOy2S1r77uI/AAAAAAAAAck/LoXJQYYKV-c/diamondganesh00_thumb5.jpg?imgmax=800" style="border-width: 0px; display: inline; margin-left: 0px; margin-right: 0px;" title="diamond ganesh-00" width="228" /></a> นอกจากนี้ถ้าท่านผู้อ่านยังต้องการข้อมูลของพระพิฆเนศเพิ่มเติมอีก ลองไปดูที่ Google Guru หรืออีกที่ก็มี Yahoo รอบรู้ ลองไปตั้งคำถามที่ ท่านอยากรู้เกี่ยวกับพระพิฆเนศไว้ที่นั่นนะครับแล้วจะมีคนที่มีความรู้และข้อมูลในสิ่งที่ท่านอยากรู้ มาตอบคำถามให้ นั่นก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งนะครับ ท้ายนี้ผมมีของมาฝากเช่นเคย เป็นภาพพระพิฆเนศประดับเพชรจะ เป็นเพชรจริงหรือเพชรปลอมติดตามอ่านกันต่อที่ mylordganesha.wordpress.com <br />
<br />
<strong> อย่าลืมนะครับให้ ท่านถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหน แล้วพาตัวท่านเองไปหาคติธรรมที่อยู่ในตัวองค์ท่าน แล้วท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่า ทำไม พระพิฆเนศ จึงเป็นเทพแห่งความสำเร็จ …..</strong><br />
<strong>ขอให้สำเร็จกันทุกคนนะครับ……..โชคดีครับ</strong><br />
<a href="http://lh3.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TOy2T8pHfaI/AAAAAAAAAco/TUUPE6Jm3kc/s1600-h/GaneshFB8.jpg"></a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8568482197909500395.post-45897133979383485152010-11-17T10:51:00.002+07:002013-08-11T12:49:58.233+07:00Himmapan’s Fruit-มัคคะลีผล วันนี้บังเอิญผมได้ไปเห็นภาพๆหนึ่งที่เขาว่าเป็นเทคโนโลยี่ ทางการเกษตรของจีน ที่สามารถผลิตผลสาลี่ให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ได้ แต่ทำไมข้อมูลมีน้อยเหลือเกินแค่ 4-5บรรทัด ก็ลองค้นหาข้อมูลต่อไปอีก<br />
<a href="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TONRGHnGkyI/AAAAAAAAAb4/eXkCMyjJwqE/s1600-h/HM-Fruit-02%5B17%5D.jpg"><img alt="HM-Fruit-02" border="0" height="240" src="http://lh5.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TONRGw7WQiI/AAAAAAAAAb8/emGUXebiY40/HM-Fruit-02_thumb%5B11%5D.jpg?imgmax=800" style="border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; border-top-width: 0px; display: inline; margin: 0px 0px 0px 45px;" title="HM-Fruit-02" width="172" /></a> <a href="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TONRH_ZXt0I/AAAAAAAAAcA/ZBzM6Xp5NSI/s1600-h/HM-Fruit-01%5B3%5D.jpg"><img alt="HM-Fruit-01" border="0" height="240" src="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TONRIugQZbI/AAAAAAAAAcE/1FuwRB7bWWw/HM-Fruit-01_thumb%5B1%5D.jpg?imgmax=800" style="border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; border-top-width: 0px; display: inline; margin: 0px 0px 0px 30px;" title="HM-Fruit-01" width="197" /></a> <br />
ก็ไปพบอีกภาพเป็นรูปต้นไม้ที่มีผลเป็นผู้หญิงขนาดย่อม และไม่มีข้อมูลอะไรเลย แถมยังบอกว่าเป็นของจริงอีก เอาเป็นว่าผมไม่สามารถสรุปได้ว่า รูปทั้ง 2 รูปนั้นมีที่ไปที่มายังไง แต่ก็ทำให้ผมนึกถึงรูปๆหนึ่ง ที่ผมถ่ายรูปนั้นไว้หลายปีแล้วได้ เป็นภาพ มัคคะลีผล ที่ลงรักษ์ปิดทองไว้ บนบานหน้าต่างบานหนึ่ง ที่ศาลารอบองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม <br />
<a href="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TONRKLFCzCI/AAAAAAAAAcI/zs8eW8aoTMw/s1600-h/HM-Fruit-03%5B10%5D.jpg"><img alt="HM-Fruit-03" border="0" height="396" src="http://lh6.ggpht.com/_nODZ1TzbWz4/TONRLFemgqI/AAAAAAAAAcM/68NA5n05pfQ/HM-Fruit-03_thumb%5B8%5D.jpg?imgmax=800" style="border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; border-top-width: 0px; display: block; float: none; margin: 3px auto;" title="HM-Fruit-03" width="393" /></a> <br />
จำได้ว่าที่ผมถ่ายรูปนั้นไว้เพราะความน่ารักของท่านฤาษี ที่ช่างหรือจิตรกร ได้วาดและกำหนดไว้ให้ท่านฤาษีถือดาบไว้ในมือ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ชมภาพนี้เข้าใจเจตนาของฤาษีตนนี้ว่า กำลังจะไปสอยมัคคะลีผลมาเป็นสมบัติของตนแน่นอน โดยที่ความจริงแล้วฤาษีตนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าโดน แผนนารีพิฆาตของท้าวสักกะ(พระอินทร์)อยู่คือ<br />
เมื่อประมาณสามหมื่นปีก่อน พระเวสสันดร พร้อมด้วยพระนางมัทรี และบุตร 2 คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น <span style="color: #d7d700;">ท้าวสักกะเทวราช ได้เล็งเห็นอันตรายในป่านั้น</span>จึงได้เนรมิตบรรณศาลาสำหรับพระเวสสันดร พระนางมัทรี และกุมารทั้ง 2 ขณะบำเพ็ญอยู่นางมัทรีต้องออกหาผลไม้ในป่านั้น ซึ่งมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ซึ่งยังมีกิเลส <span style="color: #d7d700;">เกรงว่าจะมาล่วงศีลพระนางมัทรี ท้าวสักกะเทวราช จึงได้เนรมิตต้นมัคคะลีผล เป็นมัคคะบัญชา</span> หรือเป็นต้นไม้แห่งคำสาปของพระอินทร์ จำนวน 16 ต้น ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงบรรณศาลา<br />
ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย เทพธิดาแต่ละนางที่มาเกิดนั้น หาได้ถูกบังคับมาไม่ แต่เป็นผลกรรมที่ต้องมาเกิด<br />
<span style="color: #d7d700;">เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้ เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี</span> การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้ <br />
เห็นมั๊ยครับแผนนารีพิฆาตของท้าวสักกะยอดเยี่ยมมั๊ยครับ ติดตามกันต่อนะครับ บทความหน้า The way to Lord Ganesha-02 แน่นอนครับ (ขอขอบคุณ เวบกระทิงเขียว สาระและบันเทิงเพื่อทุกๆคน ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล)Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/00757788816988423218noreply@blogger.com0