วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Princess Vilas’s story พระองค์เจ้าหญิงวิลาส


       สวัสดีครับ นี่ก็ใกล้เข้าวันสำคัญที่ปวงชนชาวไทยรอคอยแล้วนะครับก็คือวัน วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลดุลยเดช วันที่ 5 ธันวาคมนี้ แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า เมื่อ 199 ปีที่แล้ว วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2354 ก็เป็นวันประสูติของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าวิลาส ทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 3กับ เจ้าจอมมารดาบาง มีพระอนุชาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงเป็นพระปิตุจฉาของ สมเด็จพระนางเจ้า โสมนัสวัฒนาวดี สิ้นและพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. 2388 พระราชธิดาองค์นี้ค่อนข้างมีบทบาทอย่างมากในยุคนั้นกล่าวได้คือ

vinayak-vanich.blogspot.com



       - กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเป็นพระราชธิดาองค์โปรดในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกให้เป็น "นางแก้ว" ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัตนะของพระองค์อีกด้วย” - (http://th.wikipedia.org/)
ram3       - พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเสียสละและอดทนอย่างยิ่งต่อการที่จะทำนุบำรุงบ้านเมือง พระศาสนา และอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดรัชกาลของพระองค์ ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งถึงกุญแจแห่งความสำเร็จว่า ประกอบด้วยแก้ว 5 ประการ สำหรับเพื่อแผ่นดิน อันได้แก่
       1. บ่อแก้ว หมายถึง พระยาราชมนตรี (ถู่) ซึ่งเป็นราชบัญฑิตที่น่าเลื่อมใส
       2. ช้างแก้ว หมายถึง พระยาช้างเผือกนามว่า พระเทพกุญชร พระยาเศวตกุญชร และพระยามงคลเดชพงศ์
       3. นางแก้ว หมายถึง พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ      
       4. ขุนพลแก้ว หมายถึง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพผู้คอยปกป้องพระราชอาณาเขตให้พ้นจากการรุกรานของศัตรู      
       5. ขุนคลังแก้ว หมายถึง พระศรีสหเทพ (ทองเพ็ง ศรีเพ็ญ)    


       อย่างแรกที่พวกเราคนในยุคปัจจุบันทราบคือ ท่านอยู่ในบทบาท ของ”นางแก้ว” หนึ่งในกุญแจแห่งความสำเร็จในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ที่ในยุคนั้นนับว่า บทบาทของสตรีช่างน้อยเหลือเกิน แล้วท่านผู้อ่านทราบอีกมั๊ยครับว่า วันลอยกระทงที่ท่านผู้อ่านเพิ่งไปลอยกันมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พวกเราคนในยุคปัจจุบันอีกตามประวัติดังนี้
       “ประเพณีลอยกระทง ทำด้วยใบตองในระยะแรก จำกัดอยู่ในราชสำนักกรุงเทพฯ เท่านั้น มีรายพรรณาเป็นรายละเอียดอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 3 ว่ากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ราชธิดาองค์โปรดได้แต่งกระทงเล่นทุกปี เมื่อนานเข้าก็เริ่มแพร่หลายสู่ราษฎรในกรุงเทพฯ แล้วขยายไปยังหัวเมืองใกล้เคียงในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา” (ข้อมูล : สถาบันอยุธยาศึกษา - ลอยกระทง ขอขมาธรรมชาติ)

       นอกจากเรื่องกระทงใบตองที่ในยุคปัจจุบันยังมีประดิษฐ์กันอยู่แล้ว ในยุคของท่านนั้นมีกวีเอกอยู่หลายท่าน แต่จะขอกล่าวถึง 2 ท่านที่เกี่ยวข้องกับ พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพท่านแรกก็คือ “คุณสุวรรณ”
       คุณสุวรรณนี้ เมื่อเจริญวัย บิดามารดา จึงได้ถวายตัวให้รับราชการฝ่ายใน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่าคุณสุวรรณ "มีอุปนิสัยใจรักการแต่งกลอนมาแต่ยังเด็ก ได้ถวายตัวทำราชการฝ่ายในตามเหล่าสกุล เมื่อรัชกาลที่ 3 อยู่ที่ตำหนักพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ"[1]
       คุณสุวรรณได้แต่งเพลงยาวทำนองเป็นจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์ขึ้น 2 เรื่องคือ เพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ และเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เพลงยาว 2 เรื่องนี้มีการบันทึกเรื่องราวของหญิงชาววังไว้เป็นอย่างดี รวมถึง "การเล่นเพื่อน" ของหญิงชาววังด้วย

       คุณสุวรรณนั้น พวกชาววังสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ มักพูดกันว่า เธอเสียสติ หรือเจ้านายบางพระองค์วิจารณ์ว่า เธอฟุ้งไปด้วยเรื่องหมกมุ่น แต่งหนังสือ 'บ้าๆบอๆ' เช่นแต่งกลอน ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องพระมะเหลเถไถ และอยู่ดีๆก็เอาตัวละครในเรื่องต่างๆมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน (คือเรื่องอุณรุทร้อยเรื่อง) แต่ที่จริงแล้วคุณสุวรรณคงไม่ได้บ้าหรือเสียสติอย่างที่พูดๆกัน ที่เธอแต่งเรื่องพระมะเหลเถไถ หรืออุณรุทร้อยเรื่อง ก็คงเป็นด้วยความตั้งใจจะทำอะไรๆให้แปลกให้แหวกแนวออกไป หรืออาจแต่งประชดประชันระบายอารมณ์ที่เก็บเอาไว้ คุณสุวรรณคงไม่ได้บ้า หากแต่ 'ทำเป็นบ้า' เพราะคุณสุวรรณนั้น เล่ากันมาว่า เธอจงรักภักดีใน พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ในรัชกาลที่ ๓ นักหนา เมื่อสิ้นพระชนม์คุณสุวรรณจึงเศร้าโศกเสียใจมาก (กรมศิลปากร.รวมวรรณคดีห้าเรื่อง(บทละครเรื่องพระมะเหลเถไถ บทละครเรื่องอณรุทร้อยเรื่อง กลอนเพลงยาวเรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ กลอนเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอับสรสุดาเทพ และบทละครเรื่อง ระเด่นลันได).ศิลปบรรณาคาร.2511)

       เป็นไงบ้างครับผ่านไป 1 กวีในยุคนั้นซึ่งหนังสือที่คุณสุวรรณแต่งคงผ่านสายตาผู้อ่านในยุคนี้หลายๆคนและกลายเป็นละครจักรๆวงศ์ๆ ช่วงเช้าๆวันเสาร์-อาทิตย์ในปัจจุบันอีก ส่วนกวีอีก 1 ท่าน ชื่อของท่านในยุคปัจจุบันนี้ ก็กลายเป็น landmark ประจำ อ.แกลง จ.ระยองไปเรียบร้อยแล้วครับ และชื่อของท่านก็กลายเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในปัจจุบันคือ"วันสุนทรภู่"

sunthornphu_01 (ในการนี้ รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่อง "สุนทรภู่" ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก โดยในวาระครบรอบ 200 ปีเกิด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ต่อมา นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของสุนทรภู่ ให้แพร่หลายในหมู่เยาวชนและประชาชนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น "วันสุนทรภู่" ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่"วัดเทพธิดาราม" และ ที่จังหวัดระยอง และมีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป )

       ใช่แล้วครับเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่าน “สุนทรภู่” ลองค้นข้อมูลที่เกี่ยวพันระหว่างกวีท่านนี้และกรมหมื่นอับสรสุดาเทพก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะแม้แต่ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 3 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ก็ได้เขียนถึงท่านว่า "กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ เป็นถึงพระราชบุตรีที่โปรดปรานมาก คนก็เข้าพึ่งพระบารมีแทบทั้งแผ่นดิน" แน่นอนว่าท่านคงไม่ธรรมดาแน่ เพราะแม้แต่สุนทรภู่ที่บวชหนีราชภัย ก็ยังเข้ามาขอพึ่งพระบารมีเจ้านายองค์นี้ โดยย้ายจากวัดเลียบราชบูรณะมาอยู่วัดเทพธิดารามถึง 3 ปี (พ.ศ.2383-2385) และได้แต่ง รำพันพิลาป ขึ้นที่นี่ก่อนลาสึก

1191873799       นี่ไงครับ สตรีผู้ที่มีส่วนและอยู่เบื้องหลัง ชื่อเสียงระดับโลกของกวีเอกไทย และมีอีกเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนในยุคปัจจุบัน ก็คือเรื่อง "ภิกษุณี" ที่ทุกวันนี้มีข่าวในประเทศว่าจะให้มีหรือไม่สำหรับภิกษุณี นี้ หรือถ้าพวกเราอยากเห็น ภิกษุณี ตัวเป็นๆ ก็ต้องเดินทางไปดูที่ ศรีลังกา หรือไต้หวัน แต่ถ้าพวกเราอยากเห็นจริงๆในรูปแบบประติมากรรม ก็ให้ไปดูที่”วัดเทพธิดาราม” ซึ่งเป็นวัดประจำพระองค์ของเจ้านายพระองค์นี้ ภายในวัดจะมี ประติมากรรมกลุ่มผู้หญิงอยู่ในพระวิหาร เป็นรูปหล่อตะกั่วปิดทองที่เรียกกันว่ากลุ่ม "ภิกษุณี" จำนวน 52 รูป ตั้งอยู่หน้าพระประธานที่ประดิษฐานอยู่เหนือบัลลังก์บุษบก ที่เชื่อว่าเป็น "ภิกษุณี" เพราะโกนศีรษะและแต่งตัวแบบนักบวช พวกเธออยู่ในท่านั่ง มีอยู่ด้วยกัน 4 แถว (อีกอย่างที่เราเกิดสงสัยขึ้นมาก็คือบางทีพวกเธอทั้งหมดอาจเป็นตัวแทนของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพและนางข้าหลวงผู้ติดตามก็ได้เพราะรูปปั้นเหล่านั้นถึงแม้จะโกนผม แต่ทั้งหมดล้วนกันไรซึ่งแสดงว่าเธอทั้งหลายเป็นสตรีชาววัง-วารุณี โอสถารมย์ (ห ม า ย เ ห ตุ สั ง ค ม – เที่ยววัดเทพธิดาแล้วคิดถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ))


  และถ้าท่านผู้อ่านอยากรู้เรื่อง ภิกษุณี เพิ่มเติม ลองตามลิ๊งนี้ดูนะครับ  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1017        ท้ายที่สุดนี้ผมขออนุญาตนำ ข้อความดีๆของ คุณวารุณี โอสถารมย์ มาปิดท้ายบทความนี้เพราะเธอพรรณาได้จับใจผมจริงๆครับ

       “ถ้าเช่นนั้น วัดเทพธิดารามวรวิหารที่เราเข้าไปเที่ยวชมนั้น คงไม่ได้เป็นเพียงแค่วัดที่มีอดีตให้จดจำว่าสร้างให้กับเจ้านายสตรีสูงศักดิ์พระองค์หนึ่ง เพื่อให้ทำหน้าที่สืบทอดพุทธศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นอนุสรณ์แสดงถึงเป็นตัวตนของเจ้านายพระองค์นี้ด้วย…...อนุสรณ์ที่รอวันเวลาให้ผู้คนในยุคปัจจุบันค้นพบและทำความรู้จัก…...ให้ระลึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งเคยมีบทบาทในสังคมไทย”.......จนถึงปัจจุบัน

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The way to Lord Ganesha-02

       สวัสดี ครับ เป็นไงกันบ้างครับ ต่อจากบทความ The way to Lord Ganesha-01 ท่านถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหนได้หรือยังครับ (เลือกมา 1 ปางแล้วศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้ลึกซึ้งในปางนั้น ให้ใจของท่าน(ผู้อ่าน)นำพาไปหาปัญญา-ความรู้-คติธรรมหรือแม้แต่แก่นในการใช้ชีวิตที่ซ่อน อยู่ในตัวท่านพระพิฆเนศ ) ในบทความนี้เป็นข้อมูลของพระพิฆเนศ บน Social Network ที่กำลังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเราในขณะนี้ เช่น นั่ง Taxi ก็ tweet, กินข้าวอยู่ ก็ต้องแบ่งปันภาพการเอาอาหารใส่ปากให้เพื่อนๆดู (share) และเพื่อนเราก็ชอบนะครับ (I Like)เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้จริงๆครับ ก็มีส่วนหนึ่งที่แบ่งปันข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับ พระพิฆเนศ ผมขอเพิ่มเติมบางส่วนนะครับ
Ganesh-hi5

       เริ่มจาก Social Network ที่ชื่อ  HI 5 ขวัญใจ วัยทีน-วัยรุ่น-วัยศึกษา โดยใน HI 5 ให้ไปค้นหา กลุ่มในหมวดศาสนาและความเชื่อโดยจะเลือกค้นหาในภาษาใดก็ได้ แล้วข้อมูลของท่านก็จะปรากฏขึ้นมาให้ผู้อ่านเห็น แล้วลงเลือกกลุ่มที่ตัวเองชอบนะครับ แล้วคลิกเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่มนั้น เพื่อที่จะรับ ข้อมูล-ข่าวสาร-กิจกรรม ที่สมาชิกกลุ่มนำมาแบ่งปันกันในกลุ่ม และถ้าผู้อ่านมีข้อสงสัยใดเกี่ยวกับพระพิฆเนศก็สามารถเข้าไปตั้งคำถาม ภายในกลุ่มนั้นได้อีก เป็นยังไงครับ Social Network ที่น้องๆ หลานๆ เข้าไปผ่อนคลาย   หามิตรภาพ   หาเพื่อน  เล่นเกมส์ออนไลด์ แถมยังได้มีความรู้เกี่ยวกับศาสนา ด้วยครับ


Ganesh-FB       ต่อมาก็เป็น Social Network สุดฮิตที่มีผู้ใช้ถ้าคิดเป็นประเทศ ต้องถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ใช่แล้วครับ Face Book นั่นเองครับ วิธีการค้นหาท่านพระพิฆเนศก็เหมือนกัน ใน HI 5 แหละครับ คือเข้าไปหากลุ่ม หรือพิมพ์ คำว่า “พระพิฆเนศ, Ganesh, Vinayak” หรือพระนามของท่านต่างๆลงในช่องค้นหาใน Face Book แล้วข้อมูลของพระพิฆเนศก็จะปรากฏให้ท่านเห็นดังรูป แต่ข้อมูลใน Face Bookจะมีพิเศษหน่อยตรงที่ว่าหลายๆกลุ่มเป็นการรวมตัวของสมาชิกภายในประเทศต่างทั่วโลก ซึ่งหมายความว่า น้องๆ หลานๆ ภาษาอังกฤษตั้งมีติดตัวหน่อยนะครับ แต่เพื่อความปลอดภัยให้ติดตั้ง application ของ Facebook ที่ชื่อว่าTranslation ภายใน Facebook ของท่านผู้อ่านด้วย เพราะบางกลุ่ม เป็นกลุ่มคนชอบพระพิฆเนศ ภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส หรือรวมทั้งภาษา Hindi ด้วย จะได้แปลได้ทุกภาษาทั่วโลกไงครับ


diamond ganesh-00       นอกจากนี้ถ้าท่านผู้อ่านยังต้องการข้อมูลของพระพิฆเนศเพิ่มเติมอีก ลองไปดูที่ Google Guru หรืออีกที่ก็มี Yahoo รอบรู้ ลองไปตั้งคำถามที่ ท่านอยากรู้เกี่ยวกับพระพิฆเนศไว้ที่นั่นนะครับแล้วจะมีคนที่มีความรู้และข้อมูลในสิ่งที่ท่านอยากรู้ มาตอบคำถามให้ นั่นก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งนะครับ ท้ายนี้ผมมีของมาฝากเช่นเคย เป็นภาพพระพิฆเนศประดับเพชรจะ เป็นเพชรจริงหรือเพชรปลอมติดตามอ่านกันต่อที่  mylordganesha.wordpress.com 

       อย่าลืมนะครับให้ ท่านถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหน แล้วพาตัวท่านเองไปหาคติธรรมที่อยู่ในตัวองค์ท่าน แล้วท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่า ทำไม พระพิฆเนศ จึงเป็นเทพแห่งความสำเร็จ …..
ขอให้สำเร็จกันทุกคนนะครับ……..โชคดีครับ

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Himmapan’s Fruit-มัคคะลีผล

       วันนี้บังเอิญผมได้ไปเห็นภาพๆหนึ่งที่เขาว่าเป็นเทคโนโลยี่ ทางการเกษตรของจีน ที่สามารถผลิตผลสาลี่ให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ได้ แต่ทำไมข้อมูลมีน้อยเหลือเกินแค่ 4-5บรรทัด ก็ลองค้นหาข้อมูลต่อไปอีก
HM-Fruit-02  HM-Fruit-01
ก็ไปพบอีกภาพเป็นรูปต้นไม้ที่มีผลเป็นผู้หญิงขนาดย่อม และไม่มีข้อมูลอะไรเลย แถมยังบอกว่าเป็นของจริงอีก เอาเป็นว่าผมไม่สามารถสรุปได้ว่า รูปทั้ง 2 รูปนั้นมีที่ไปที่มายังไง แต่ก็ทำให้ผมนึกถึงรูปๆหนึ่ง ที่ผมถ่ายรูปนั้นไว้หลายปีแล้วได้ เป็นภาพ มัคคะลีผล ที่ลงรักษ์ปิดทองไว้ บนบานหน้าต่างบานหนึ่ง ที่ศาลารอบองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
HM-Fruit-03
    จำได้ว่าที่ผมถ่ายรูปนั้นไว้เพราะความน่ารักของท่านฤาษี ที่ช่างหรือจิตรกร ได้วาดและกำหนดไว้ให้ท่านฤาษีถือดาบไว้ในมือ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ชมภาพนี้เข้าใจเจตนาของฤาษีตนนี้ว่า กำลังจะไปสอยมัคคะลีผลมาเป็นสมบัติของตนแน่นอน โดยที่ความจริงแล้วฤาษีตนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าโดน แผนนารีพิฆาตของท้าวสักกะ(พระอินทร์)อยู่คือ
       เมื่อประมาณสามหมื่นปีก่อน พระเวสสันดร พร้อมด้วยพระนางมัทรี และบุตร 2 คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น ท้าวสักกะเทวราช ได้เล็งเห็นอันตรายในป่านั้นจึงได้เนรมิตบรรณศาลาสำหรับพระเวสสันดร พระนางมัทรี และกุมารทั้ง 2 ขณะบำเพ็ญอยู่นางมัทรีต้องออกหาผลไม้ในป่านั้น ซึ่งมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ซึ่งยังมีกิเลส เกรงว่าจะมาล่วงศีลพระนางมัทรี ท้าวสักกะเทวราช จึงได้เนรมิตต้นมัคคะลีผล เป็นมัคคะบัญชา หรือเป็นต้นไม้แห่งคำสาปของพระอินทร์ จำนวน 16 ต้น ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงบรรณศาลา
      ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย  เทพธิดาแต่ละนางที่มาเกิดนั้น หาได้ถูกบังคับมาไม่ แต่เป็นผลกรรมที่ต้องมาเกิด
เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล  เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้  เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี  การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้
เห็นมั๊ยครับแผนนารีพิฆาตของท้าวสักกะยอดเยี่ยมมั๊ยครับ ติดตามกันต่อนะครับ บทความหน้า The way to Lord Ganesha-02 แน่นอนครับ (ขอขอบคุณ เวบกระทิงเขียว  สาระและบันเทิงเพื่อทุกๆคน ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล)

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The way to Lord Ganesha-01

        หลายอาทิตย์ก่อนผมได้ chat ผ่าน facebook กับเพื่อนฝรั่งคนหนึ่ง ชื่อ Mr. Honza Strard พ่อหนุ่มคนนี้เป็นชาว สาธารณะเช็ค ครับ แต่ไปเรียนโยคะที่อินเดีย  (แอบอิจฉาแกอยู่อย่างที่ได้ขึ้นไปเที่ยวเทือกเขาหิมาลัยแล้ว-แต่ผมยังนั่งฟังข่าวน้ำท่วมแถวชานเมืองกรุงเทพอยู่เลย) ก็พูดคุยกันหลายเรื่อง มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ พ่อหนุ่มคนนี้ถามว่า Ganesh-honzaทำไมไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระพิฆเนศหละ “He lead your life” ใช่ครับโดนใจผมมาก ประโยคนี้นั้นแหละจึงเป็นที่มาของบทความนี้ครับ

      เนื้อหาของบทความผมคงไม่ โน้มน้าว, ก้าวก่าย, หรือตัดสินถูกผิด กับเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนาหรอกนะครับและไม่ขัดแย้งกับผู้รู้ทั้งหลาย แต่ผมจะขอเสริมข้อมูลให้กับ น้องๆหลานๆ (คนยุค Generation Y 1985-2001& New Gen ) ที่สนใจเกี่ยวกับพระพิฆเนศ ผ่านคนยุค Generation x (1965-2000) อย่างตัวผม.

       ในยุคนี้นะครับ การสือสารออนไลท์ - โลกไซเบอร์ - อินเตอร์เน็ท -  คอมพิวเตอร์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้วครับ ถ้าท่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็แสดงว่าท่านกำลังใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากอ่านบทความจบแล้วให้ ลุยเลยครับ พิมพ์ คำเหล่านี้ลงไปใน Seach Engine ที่คุณชอบ (Google ก็ดี)เช่น “ พระพิฆเนศ, พิฆเนศวร, คเณศ, เทพแห่งความสำเร็จ, ครูช่าง, ครูช้าง, ตรากรมศิลปากร, ฯลฯ (พระนามท่านมี 108 พระนาม) นั่นแหละครับข้อมูลท่านในแบบภาษาไทยจะหลั่งไหลมาให้ท่านเลือก(ประมาณ 550,000 ข้อมูล) ค้นหาแล้วอ่านนะครับ แล้วตัวท่านเองชอบข้อมูลไหน ให้ถามใจตัวท่านเองว่าชอบท่านแบบไหน ปางอะไร ? (นั่ง-นอน-ยืน-เดิน-เต้นรำ) เมื่อท่านเลือกรูปแบบของกริยาที่พระพิฆเนศทำ คือมี 5 กริยาตามข้างต้นแล้ว ก็เลือก สิ่งของที่อยากให้ท่านถือ ถ้าอยากให้พระพิฆเนศท่านถือสิ่งของเยอะ ก็ควรพิจารณาปางที่มีพระกรมากหน่อย มีให้เลือกตั้งแต่ 2 กร, 4 กร, 8 กร, 16 กร, 32 กร ครับ และสิ่งของในมือท่าน พระพิฆเนศ ก็มีอีกหลายหมวด เช่น  หมวดอาวุธ ก็มี ขวาน, ธนู, บ่วง, คฑา ฯลฯ หมวดเครื่องดนตรี เช่น วีณา (เครืองดนตรีทางอินเดียที่พระแม่สรัสวตีถือ) หมวดพืชและผลไม้ เช่น หัวผักกาด, มะม่วง, มะพร้าว, เมล็ดข้าว, น้ำผึ้ง ฯลฯ  มีหลายหมวดครับและสิ่งของที่พระพิฆเนศถือแต่ละชิ้น ในมือแต่ละมือก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไปอีกครับ แต่ที่แน่ๆต้องมี 1 มือ(พระหัตถ์) คือมือขวาที่มัก มีกริยาหงายมีอประทานพรให้แก่พวกเรา

       คราวนี้ก็มาถึงพาหนะและบริวารของท่านบ้าง ถ้าเราพิจารณา ปางหลัก 32 ปางของพระพิฆเนศแล้วจะเห็นว่าพาหนะท่านจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ หนูและสิงโต โดย หนูจะเป็นทั้งบริวารและพาหนะที่พบเห็นบ่อยที่สุด ส่วนในปัจจุบันก็มีปางอืนๆที่มีพาหนะและบริวารอื่นเพิ่มเติมเช่น  พระพิฆเนศประทับบนหอยบ้าง, ประทับบนช้างบ้าง, เรือสำเภาบ้าง, พญานาคบ้าง เป็นต้น

       อย่าลืมนะครับ ให้ถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบพระพิฆเนศแบบไหน เลือกมา 1 ปางแล้วศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้ลึกซึ้งในปางนั้น ให้ใจของท่าน(ผู้อ่าน)นำพาไปหาปัญญา-ความรู้-คติธรรมหรือแม้แต่แก่นในการใช้ชีวิตที่ซ่อน อยู่ในตัวท่านพระพิฆเนศ แล้วท่านก็จะเหมือนกับทุกๆคนที่รักหรือบูชา พระพิฆเนศ ที่เริ่มจากพระพิฆเนศ ในดวงใจ 1 ปาง แล้วลองไปดูหิ้งพระที่บ้านพวกเขาในปัจจุบันซิครับ มีพระพิฆเนศมากกว่า 1 ปางแน่นอนทุกคน

       ท้ายนี้ผมขอฝากผลงาน คุณ Santoshi คนเขียน blog ชาวอินเดีย ฝีมือ photoshop จัดจ้าน(black2dart.blogspot.com) ที่มีพระพิฆเนศในจิตนาการของเขาเป็นอย่างไรสำหรับ คนยุค Generation y และผมอยากให้ดู vdo ที่ icon youtube ด้านล่าง ชื่อ file : my ganesha ว่าการร้องเพลงสรรเสริญพระพิฆเนศในสไตล์ hip-hop โดยศิลปิน mc yogi เป็นเช่นไรครับ คุณต้องชอบแน่ๆ  

                  Dark ganesh-01   Dark ganesh-02

และแน่นอนครับ บทความหน้าเป็นเรื่องของพระพิฆเนศใน Social network ติดตามกันนะครับ